มาดู!! มุมมองแพทย์แผนจีน มองผู้หญิงกับผู้ชายต่างกันอย่างไร

WM

แพทย์แผนจีนนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งวงการแพทย์ที่น่าสนใจและมีมุมมองที่แตกต่างออกไปจากแพทย์ในปัจจุบัน

สำหรับวงการแพทย์ อย่างแพทย์แผนจีนนั้นก็เป็นอีกหนึ่งวงการที่มีมาแต่ยาวนานนนมากก ถึง 3000 ปีเลยก็ว่าได้ ซึ่งในการบำบัดรักษาผู้ป่วยของแพทย์แผนจีนนี้ นั้นเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ การสังเกตุมาเรื่อยๆ บวกกับแนวคิดต่างๆ(ยิน-หยาง) เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งถึงแม้ว่าแพทย์แผนจีนนั้นจะมีมาแต่ยุคไหนต่อไหนและนานนนนมากแล้วก็ตาม แต่ว่าจนถึงปัจจุบันนั้นแพทย์แผนจีนนั้นก็ยังเป็นที่รู้จักมากมายมายและเป็นที่ยอมรับในหลายต่อหลายพื้นที่ด้วยล่ะค่ะ

อย่างไรก็ตามองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยอมรับการแพทย์แผนจีนว่าเป็นอีกหนึ่งสาขาทางการแพทย์ที่สามารถรักษา บำบัดเเละป้องกันโรคได้ผล และยังประกาศให้การยอมรับการฝังเข็ม (Acupuncture treatment) ว่าเป็นวิธีการรักษาโรคได้หลากหลาย ปัจจุบันมีผลงานวิจัยมากมาย ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากลอีกด้วยเพราะงั้นแล้วหากใครที่เคลือบแคลงใจในเรื่องแล้วนั้นก็ขอให้สะบายใจได้ค่ะ ด้วยเหตุนี้เราจึงรู้สึกว่าแพทย์แผนจีนนั้นก็เป็นอีกหนึ่งวงการแพทย์ที่น่าสนใจและมีมุมมองที่แตกต่างออกไปจากแพทย์ในปัจจุบัน เพราะงั้นแล้วในวันนี้เราจึงมาทำความรู้จักเกี่ยวกับมุมมองของแพทย์จีน ที่มองผู้หญิงกับผู้ชายแตกต่างกันอย่างไรกันค่ะ ว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง

“ธรรมชาติของเพศชายเป็นหยาง มีลักษณะเคลื่อนไหว กระจายตัวออกนอก ขึ้นสู่บน”

“ธรรมชาติของเพศหญิงเป็นยิน มีลักษณะหยุดนิ่ง สงบ เก็บเข้าด้านใน ลงสู่ด้านล่าง”

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/stocksnap-894430/

สรีระพื้นฐานได้กำหนดลักษณะภายนอก บุคคลิก อารมณ์ จุดอ่อนของร่างกาย  รวมทั้งวิถีการดูแลสุขภาพของทั้งสองเพศให้แตกต่างกัน

  • ผู้ชายต้องเข้มแข็งไม่หยุดนิ่ง ผู้หญิงต้องเปี่ยมล้นด้วยคุณธรรม อดทน แบกรับอุปสรรค
  • ผู้ชายเปรียบเสมือนม้า ต้องเข้มแข็ง แข็งแรง ทำงานอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่เกียจคร้าน เช่นเดียวกับม้าที่วิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
  • ผู้หญิง ต้องมีลักษณะอ่อนนุ่ม สงบ เฝ้าดูแล คอยถ่วงดุล จิตใจต้องเมตตา ค่อยดูดซับอุปสรรค เสมือนกับพื้นดินที่แผ่กว้างไพศาล รองรับสรรพสิ่ง
  • ผู้ชายมีอวัยวะเพศที่พุ่งออกสู่ภายนอก มีลักษณะระบายออกไป ในขณะที่อวัยวะเพศหญิงมีลักษณะเก็บลับ เข้าสู่ด้านใน
  • เพศชายผลิตเชื้ออสุจิจำนวนมากเป็นล้านๆ ตัวอสุจิของเพศชาย มีลักษณะเคลื่อนไหว ไม่หยุดนิ่ง มุ่งไปด้านหน้า แต่จะมีตัวที่แข็งแรงที่สุดที่สามารถคว้าชัยชนะไปรวมตัวกับไข่ของเพศหญิงได้ ผู้ชายที่เข้มแข็งและขยันเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้ในสังคม
  • เพศหญิงผลิตไข่ได้เดือนละ 1 ฟอง แต่ในบางช่วงเช่นระยะตั้งครรภ์ก็ไม่มีการตกไข่ การฟูมฟักลูกน้อยตั้งแต่ตั้งครรภ์ จนคลอด หลังคลอดถึงเติบใหญ่ ต้องอาศัยลักษณะของผู้หญิงคือความอดทน รอคอย เนื่องจากภาวะสรีระของฮอร์โมนในร่างกายที่ขึ้นลงมีกฎเกณฑ์ เป็นจังหวะรอบเดือน ในขณะที่เพศชายมีฮอร์โมนที่มีกฎเกณฑ์เป็นจังหวะน้อยกว่า จึงมักเห็นผลจากการกระตุ้นจากภายนอกได้ง่าย ความตื่นตัวทางเพศของผู้ชายจึงมีมาก มีแนวโน้มที่จะแสวงหาเรื่องทางเพศสูง ซึ่งต่างกับผู้หญิงที่เมื่อตกลงปลงใจรักใครแล้วมักจะไม่นอกใจ เช่นเดียวกับไข่ที่พบกับเชื้ออสุจิตัวเดียวก็จะปิดรับเชื้ออสุจิตัวอื่นที่จะเข้ามา

ผู้ชายอยู่กำกับภายนอก  : ผู้หญิงอยู่กำกับภายใน

หยางออกสู่ภายนอก  ยินเข้าสู่ด้านใน

ผู้ชายกำกับภายนอกต้องเคลื่อนไหว ทำมาหากินหารายได้จากนอกบ้าน ดูแลกิจการภายนอก ในขณะที่ผู้หญิงกำกับภายใน ต้องเก็บสะสมเงินทองที่หามาได้  คอยดูแลภายในบ้าน อาหารการกิน ความเป็นอยู่ของลูกๆสามีและทุกคนในครอบครัว ให้เกิดความสงบเรียบร้อย

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@linkedinsalesnavigator

ผู้ชายคุยเรื่องการงาน ผู้หญิงพูดระบายความรู้สึก

ผู้หญิง ถ้ามีโอกาสคุยกัน มักจะพูดระบายอารมณ์ พูดเรื่องครอบครัว ลูกๆ บางคนชอบนินทาเรื่องคนอื่น เมื่อได้พูดคุยก็จะสามารถระบายอารมณ์ความอัดอั้นตันใจ  จิตใจจะผ่อนคลายสบาย ในขณะที่ผู้ชายชอบพูดคุยเรื่องการงาน หลักการ เวลาพูดคุยกันแล้วมักจะมีความเครียด หงุดหงิด ทำให้กลไกพลังและอวัยวะภายในถูกกระทบกระเทือน เกิดโรคได้ง่าย

ผู้ชายอายุสั้นกว่าผู้หญิง ทั้งๆที่ ผู้หญิงจะแก่เร็วกว่าผู้ชาย 

ผู้หญิงใช้เลข 7 ผู้ชายใช้เลข 8 มาคำนวณการเจริญเติบโตและความเสื่อม

ผู้หญิงที่อายุ 7 ขวบเริ่มมีฟันน้ำนม, อายุ 7 x 2 = 14 ปี มีประจำเดือน, อายุ 7 x 5 = 35 ปี เริ่มต้นความเสื่อม, อายุ 7 x 7 = 49 ปี หมดประจำเดือน หมดวัยเจริญพันธุ์

ผู้ชายอายุ 8 ขวบ เริ่มมีฟันน้ำนม, อายุ 8 x 2 = 16 ปี เข้าวัยเจริญพันธุ์ มีการสร้างอสุจิ, อายุ 8 x 5 = 40 ปี เริ่มต้นความเสื่อม 8 x 8 = 64 ปี หมดวัยเจริญพันธุ์

ผู้ชายอายุ 40 ปี เทียบเท่าผู้หญิงอายุ 35 ปี (ผู้หญิงแก่เร็วกว่าผู้ชาย 5 ปี โดยธรรมชาติ) แต่การที่ผู้ชายมีอายุสั้นกว่าผู้หญิง ก็ด้วยเหตุผล 2 ประการ

  1. การมีประจำเดือนของผู้หญิง เป็นการระบายการอุดกั้นของพลังตับ ขณะมีประจำเดือนมักจะหงุดหงิด หลังมีประจำเดือนอารมณ์จะสบายขึ้น ถือว่าเป็นการผ่อนคลายความเก็บกดภายในวิธีหนึ่ง (แพทย์จีน)
  2. ผู้ชายสูญเสียสารจิง (อสุจิกับน้ำอสุจิ) ซึ่งถือว่าเป็นสารสำคัญของการมีชีวิต และสารในรูปพลังงานสำรองของร่างกาย การสูญเสียอสุจิของผู้ชายเกิดได้บ่อยๆ เมื่อมีการกระตุ้น ทำให้สูญเสียพลังสำรองได้ง่าย ในขณะที่ผู้หญิงสูญเสียเลือดประมาณเดือนละ 1 ครั้ง เท่านั้น
WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/theharpreetbatish-4973378/

การดูแลควบคุมสารจิง 5 วิธี ของผู้ชาย

1. ควบคุมความต้องการทางกามารมณ์

เมื่ออารมณ์ถูกกระตุ้น  ไตจะถูกกระตุ้น สารจิงก็ถูกกระตุ้น การควบคุมถนอมสารจิง เพื่อรักษาสารจิงให้เพียงพอ  จึงต้องควบคุมที่อารมณ์

2. ควบคุมความอ่อนล้า

การทำงานของร่างกายไม่ควรหักโหมมากเกินไป  สารจิงในร่างกายจะแปรเปลี่ยนเป็นเลือด  การใช้พลังงานต่างๆ ต้องใช้เลือดไปหล่อเลี้ยง  และกระทบอวัยวะภายในที่แน่นอน ตัวอย่างเช่น ใช้ตามากเกินไปกระทบเลือดที่ไปเลี้ยงตับ, ใช้หูมากเกินไปกระทบเลือดที่ไปเลี้ยงไต, ใช้ความคิดมากเกินไปกระทบเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ…การพักผ่อนและการควบคุมการใช้งานไม่ให้มากเกินไป เป็นการถนอมสารจิงอีกทางหนึ่ง

3. ควบคุมอารมณ์โกรธ

โกรธทำลายตับ  ตับเก็บกักเลือด  คนที่โมโหเลือดจะเคลื่อนไหวออกจากตับ เกิดการเคลื่อนไหว เลือดออกจากอวัยวะภายใน เป็นการทำลายเลือด  ทำลายสารจิง  การควบคุมอารมณ์จึงมีความสำคัญในการควบคุมสารจิง

4. ละเว้นการดื่มเหล้า

เหล้ากระตุ้นการไหลเวียนเลือดและพลัง การดื่มเหล้าในปริมาณเล็กน้อยในบางกรณีจะมีประโยชน์ แต่การดื่มเหล้าปริมาณมากจะทำให้การไหลเวียนเลือดแปรปรวน ทำลายเลือด ทำลายสารจิง

5. ควบคุมการกิน

  • ไม่ควรดื่มกินอาหารอย่างไร้การควบคุม ตามความอยากหรือตามปาก
  • ควรเน้นการรับประทานธัญพืช เพราะธัญพืช  คือ เมล็ดพันธุ์ที่เก็บสะสมพลังของการเติบโตเป็นต้นอ่อนของพืช  เช่นเดียวกับสารจิง
  • การเสริมสารจิง จึงต้องเน้นที่ธัญพืชไม่ใช่เนื้อสัตว์  หรืออาหารประเภทผัก

เป็นอย่างไรบ้างคะ สำหรับมุมมองแพทย์แผนจีน มองผู้หญิงกับผู้ชายต่างกันอย่างไรนะ? ที่ DooDiDo นำมาฝากทุกคนในวันนี้ พออ่านจบแล้วก็พอรู้ได้เลยใช่มั้ยล่ะคะว่า มุมมองแพทย์แผนจีน ที่มองความแตกต่างผู้หญิงกับผู้ชายไว้อย่างไรบ้าง บางอย่างก็เรียกได้ว่าแตกต่างจากที่เราเรียนรู้จากแพทย์ในโรงพยาบาลที่เราไปโดยสิ้นเชิงเลย แต่ถึงแม้จะแตกต่างกันมากเพียงใดแต่ทว่าการรักษาโดยแพทย์แผนจีนนั้นไม่ไก่กาอาลาเล่เลย เพราะเป็นที่ยอมรับจากองค์กรที่สามารถเชื่อถือได้อย่าง (WHO) อีกด้วย

ขอบคุณแหล่งที่มา: https://samluangclinic.com