น้ำในหูไม่เท่ากัน หรืออาการบ้านหมุน ควรดูแลตัวเองอย่างไร

น้ำในหูไม่เท่ากัน

น้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นอาการที่เกิดจากความผิดปกติของน้ำในหูชั้นใน ส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ประสาทที่ควบคุมการทรงตัวและการได้ยิน ทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ หูอื้อ สูญเสียการได้ยิน รู้สึกถึงแรงดันภายในหู อาการมักเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและต่อเนื่อง หากมีอาการรุนแรงอาจเสี่ยงต่อการล้มระหว่างเดิน ทำงาน หรือขับขี่ยานพาหนะได้ รวมถึงอาจทำให้สูญเสียการได้ยินไปอย่างถาวร ในบทความนี้เราได้ให้ข้อมูลถึงสาเหตุของน้ำในหูไม่เท่ากัน ระยะของอาการ การรักษา การป้องกัน และอาหารที่ช่วยป้องกันการเกิดน้ำในหูไม่เท่ากัน

น้ำในหูไม่เท่ากัน

น้ำในหูไม่เท่ากัน มีสาเหตุมาจากอะไร

โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เกิดจากภาวะที่มีการอักเสบในหูกลาง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีการคัดจมูกหรือเสมหะที่ทำให้ท่อไอระบายน้ำหูมีปัญหา จากนั้นเชื้อโรคก็อาจเข้าทำลายเนื้อเยื่อในหูกลาง ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการน้ำในหูและอักเสบได้ การรักษาโรคน้ำในหูขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค โดยบางครั้งอาจต้องใช้การรักษาด้วยการให้ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านเชื้อ ในกรณีรุนแรงอาจต้องพิจารณาการทำศัลยกรรมเพื่อเสริมสร้างระบบระบายน้ำในหู สาเหตุของโรคน้ำในหูไม่เท่ากันอาจมีหลายปัจจัย เช่น
  • การติดเชื้อ: เชื้อโรคที่เข้าทำลายเนื้อเยื่อในหูกลาง ทำให้เกิดการอักเสบและสะสมน้ำในหูได้ เช่น เชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส
  • ปัจจัยทางสังคม: การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการติดเชื้อบ่อยๆ หรือการอยู่ในที่แออัด การดูแลรักษาที่ไม่ถูกต้อง หรือการใช้ท่อหูที่ไม่สะอาด ก็เป็นปัจจัยที่สามารถทำให้เกิดโรคน้ำในหูได้
  • ปัจจัยทางกาย: บางครั้งเด็กที่มีท่อหูสั้นหรือแคบมีความเสี่ยงสูงของการเป็นโรคน้ำในหู เนื่องจากท่อหูที่แคบนี้ทำให้น้ำหูไม่ได้รับการถ่ายเทอากาศได้ดี

อาการน้ำในหูไม่เท่ากัน มีกี่ระยะ เป็นกี่วันหาย

อาการน้ำในหูไม่เท่ากัน นานไหม กว่าจะหาย ซึ่งอาการน้ำในหูไม่เท่ากันสามารถแบ่งเป็นระยะต่างๆ แต่ละระยะอาจมีอาการและลักษณะที่แตกต่างกันไป ต่อไปนี้คือระยะและลักษณะของอาการ

  • ระยะแรก (Acute Otitis Media): ระยะนี้มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส มีอาการปวดหูที่รุนแรง ไข้ และการสะสมน้ำหู อาการอาจเป็นระยะสั้นๆ แต่ก็อาจต้องการการรักษาทางยาเพื่อควบคุมการติดเชื้อ
  • ระยะน้ำในหู (Otitis Media with Effusion): หลังจากระยะแรก หากน้ำหูไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม น้ำในหูสามารถสะสมอยู่ในท่อหูหรือหูกลางเป็นเวลานานๆ โดยไม่มีอาการปวดหูหรือไข้ แต่ผู้ป่วยอาจรู้สึกความไม่สบายหรือรู้สึกน้ำหู
  • ระยะฟื้นตัว (Resolution): ในบางกรณีน้ำในหูสามารถถ่ายออกมาเอง หรือผ่านการรักษาและการดูแล อาการอาจดีขึ้นเองหรือต้องใช้เวลาสักระยะ

การรักษาอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน

อาการน้ำในหูไม่เท่ากัน วิธีรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของโรค ควรให้แพทย์ทำการวินิจฉัยและแนะนำตามสถานการณ์ของแต่ละบุคคล เนื่องจากอาการน้ำในหูไม่เท่ากันนั้นอาจมีหลายสาเหตุและสภาพ การเลือกใช้วิธีรักษาไปตามความเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยมีหลายวิธีการที่สามารถนำมาใช้ได้

  • การรอดูอาการ: ในบางกรณีที่อาการไม่รุนแรงหรือไม่เป็นที่น่ากังวลมาก แพทย์อาจแนะนำให้รอดูแลโดยไม่ต้องรับการรักษาทันที โดยจะตรวจสอบอาการเป็นระยะเวลาๆ เพื่อดูว่าอาการดีขึ้นหรือไม่
  • การให้ยา: การให้ยาอาจถูกใช้ในบางกรณี เช่น การให้ยาต้านเชื้อ ยาลดการอักเสบ หรือตัวนำไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นการไหลของน้ำในหู
  • การรักษาด้วยศัลยกรรม: กรณีที่อาการไม่ดีขึ้นหลังจากการรักษาด้วยยาหรือมีอาการที่คงอยู่นาน แพทย์อาจพิจารณาให้ผ่าตัดเพื่อทำความสะอาดหูหรือป้องกันการสะสมของน้ำในหู
  • การให้ท่อหู: ในบางกรณีที่มีอาการน้ำในหูไม่เท่ากันระบบต่างๆ อาจถูกใช้ เช่น การใส่ท่อหูเพื่อช่วยระบายน้ำออกจากหู
  • การรักษาทางกายภาพ: บางครั้งการให้ท่านั่งหรือท่าทางอื่นๆ อาจช่วยในการระบายน้ำในหู

การป้องกันอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน

การป้องกันน้ำในหูไม่เท่ากันนั้นมีประโยชน์ในการลดความเสี่ยงในการเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่ไม่มีวิธีการที่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด 100% หากมีอาการบางอย่างที่กังวลหรือมีปัญหาเกี่ยวกับหู ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสม วิธีช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากันมีดังนี้

  • การป้องกันการติดเชื้อ: ป้องกันการติดเชื้อที่สามารถทำให้เกิดโรคน้ำในหูไม่เท่ากันได้โดยการล้างมืออย่างถูกต้อง หลีกเลี่ยงการสัมผัสตา จมูก และปากโดยใช้มือ การควบคุมการติดเชื้อในสภาพแวดล้อมและการทำความสะอาดท่อไอ
  • การสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม: รักษาสภาพแวดล้อมที่ไม่มีควัน มลพิษ หรือสิ่งอื่นๆ ที่อาจกระทบต่อการทำงานของท่อไอและหู ทำให้ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
  • การรักษาการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ: การรักษาโรคหรืออาการที่เป็นไปได้ที่สามารถกระทบต่อระบบทางเดินหายใจและท่อไอ เช่น การรักษาไข้หวัด ไอ หรือน้ำมูกอย่างทันที
  • การหลีกเลี่ยงสภาวะที่ทำให้เกิดความดันต่างๆ: การลดความเครียด การป้องกันการติดเชื้อในหูที่สามารถกระทบต่อการทำงานของท่อไอ การหลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพที่มีความดันต่างๆ
  • การควบคุมการแพร่เชื้อในสถานที่ทำงานหรือการศึกษา: การให้การแนะนำและปฏิบัติตามมาตรการเพื่อลดการแพร่เชื้อในที่ทำงานหรือสถานที่ศึกษา เช่น การหลีกเลี่ยงการใช้วัสดุที่สามารถสะสมเชื้อได้

อาหารที่ช่วยป้องกันอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน

ไม่มีอาหารหรือวิตามินที่เฉพาะเจาะจงช่วยป้องกันอาการน้ำในหูไม่เท่ากันได้โดยตรง แต่การรักษาร่างกายในรูปแบบที่ดีทั้งระบบทางเดินหายใจและระบบภูมิคุ้มกันอาจมีผลในการลดความเสี่ยงของการเป็นน้ำในหูไม่เท่ากัน นอกจากนี้การรักษาที่เน้นทางอาหารและการดูแลสุขภาพที่ดีสามารถสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ด้วย ต่อไปนี้คือบางแนวทางที่อาจช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดี

  • โซเดียม: การลดการบริโภคโซเดียมอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นน้ำในหูไม่เท่ากัน
  • วิตามิน C: เป็นสารต้านอนุมูลอิสที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย คุณสามารถได้มาจากผักผลไม้ที่มีสีสันสดใส เช่น ส้ม มะละกอ แตงโม และผักใบเขียว
  • วิตามิน D: เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันและความขาดจะส่งผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน วิตามิน D สามารถได้มาจากแสงแดด อาหารเสริม หรืออาหารที่รวมถึงปลา เห็ด และอาหารปรุงรสที่เติมวิตามิน D
  • โปรไบโอติก: อาหารที่มีคุณภาพดีและมีสารอาหารสมบูรณ์ เช่น ผลไม้ ผัก และอาหารที่มีโปรไบโอติก สามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีได้
  • การดื่มน้ำเพียงพอ: การดื่มน้ำเพียงพอสามารถช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นของท่อไอและหู และชะลอการเกิดอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน
  • การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายสม่ำเสมอสามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีและระบบทางเดินหายใจ

บทสรุป

อาการน้ำในหูไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สาเหตุของโรค การได้รับการรักษาที่ถูกต้อง และสุขภาพ บางครั้งอาการน้ำในหูอาจหายเองได้ แต่ในบางกรณีอาจต้องใช้เวลานานมากขึ้นหรือต้องการการรักษาเพิ่มเติม การบำรุงรักษาสุขภาพที่ดีโดยรวมเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ รวมทั้งอาการน้ำในหูไม่เท่ากันด้วย หากมีอาการน้ำในหูไม่เท่ากันควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม

 

ติดตามเรื่องราวอื่นๆ และเกมส์ที่น่าสนใจได้ที่ : doodido.com

ขอบคุณภาพประกอบจาก : 

  • istockphoto.com

ขอบคุณแหล่งอ้างอิงจาก :

  • nhsinform.scot
  • hopkinsmedicine.org
  • nhs.uk