หูอื้อ เกิดจากอะไร และสามารถรักษาได้อย่างไร

หูอื้อ

หูอื้อ เป็นอาการของการได้ยินเสียงลดลงหรือบางคนรู้สึกเหมือนมีเสียงรบกวนในหู มักเกิดขึ้นแบบบฉับพลันโดยที่ไม่ทันรู้สึกตัว เช่น ไม่ได้ยินเสียงคนเรียก หรือไม่ได้ยินเมื่อเกิดเสียงดัง การรักษาอาการหูอื้อจะต้องรักษาตามสาเหตุ หากมีอาการบ่อยหรือเป็นประจำควรเข้ารับการตวรจโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการวินิจฉัย และทำการรักษาต่อไป ในบทความนี้ได้บอกถึงความหมายของอาการหูอื้อ สาเหตุ อาการ การป้องกันและรักษาอาการหูอื้อ

หูอื้อ

หูอื้อ มึความหมายว่าอย่างไร

หูอื้อ หมายถึง การมีเสียงหูสูงหรือรบกวนในหูที่ไม่ได้มาจากเสียงภายนอก แต่เป็นเสียงที่รู้สึกได้ภายในหูของผู้ป่วยเอง อาการนี้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในทางไปทางหูเทียม (Eustachian tube) ที่เชื่อมต่อระหว่างหูกับลำคอและปาก อาการหูอื้อสามารถเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุทั้งโรคหูและทางหลอดหู การติดเชื้อ การปวดหู การปวดศีรษะ หรือปัจจัยทางจิตวิทยา เช่น ความเครียดหรือภาวะซึมเศร้า การวินิจฉัยจำเป็นต้องพิจารณาประวัติการเจ็บป่วย การตรวจร่างกาย และบางครั้งอาจต้องมีการใช้เทคนิคการตรวจระบบหูทางเส้นตาย (audiometry) เพื่อประเมินการได้ยิน การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการติดเชื้อการใช้ยาต้านเชื้อแบคทีเรียหรือยาต้านอัลไลจีนอย่างอินฟลูเอนซาส (anti-inflammatory) บางครั้งอาจถูกนำมาใช้ ในกรณีของปัญหาหูและหลอดหูเทียม การปรับแต่งการเดินหายใจ การลดน้ำหนัก หรือการทำหัตถการในกรณีที่จำเป็นอาจเป็นทางเลือก ถ้าคุณมีอาการหูอื้อตลอดเวลา หรือมีอาการหูอื้อ เวียนหัวควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง

สาเหตุที่ทำให้หูอื้อ

ส่วนมากหูอื้อเกิดจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบหูหรือระบบประสาท นอกจากนี้ยังมีปัจจัยทางจิตวิทยาและปัจจัยทางสภาพแวดล้อมที่อาจมีผลในการเกิดอาการนี้ด้วย หากคุณมีอาการหูอื้อที่ไม่หายไปภายในระยะเวลาสั้นหรือมีอาการร่วมกับอาการอื่นๆ ที่ไม่ปกติ ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม

  • โรคหูและทางหลอดหู: ปัญหาในหู เช่น การติดเชื้อหู การสะสมของเหล็กในหู หรือการทำให้หูเจ็บเสียหาย สามารถทำให้เกิดเสียงหูอื้อ
  • การตอบสนองของระบบประสาท: การมีการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาท ซึ่งอาจเกิดจากปัญหาสุขภาพหรือการทำให้เสียหายของระบบประสาท สามารถทำให้เกิดอาการหูอื้อ
  • การใช้ยาหรือสารเคมี: การใช้ยาหรือสารเคมีบางชนิดสามารถทำให้เกิดเสียงหูอื้อ
  • ปัจจัยทางจิตวิทยา: ความเครียด ภาวะซึมเศร้า หรือปัญหาทางจิตวิทยาอื่นๆ สามารถทำให้เกิดอาการหูอื้อ
  • การบวมหรือความเสียหายในทางปากหรือลำคอ: การบวมหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นในทางปากหรือลำคอสามารถทำให้เกิดเสียงหูอื้อ
  • การใช้บางอุปกรณ์ทางการแพทย์: การใช้บางอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เครื่องช่วยฟังหรือหูฟัง ในระยะเวลานานอาจเป็นสาเหตุของอาการ
  • ปัจจัยทางสภาพแวดล้อม: การถูกตั้งใจเสียงรบกวน เช่น เสียงดังจากการทำงาน เสียงดนตรีหรือคลื่นเสียง สามารถทำให้เกิดเสียงหูอื้อ

อาการหูอื้อข้างเดียว

อาการหูอื้อข้างเดียว เกิดจากอาการที่มีเสียงหูอื้อเกิดขึ้นในข้างเดียว ไม่ใช่ทั้งสองข้างพร้อมกัน มีหลายสาเหตุที่อาจทำให้เกิดอาการนี้และสามารถแก้อาการหูอื้อข้างเดียวได้ และมักเป็นเรื่องที่ซับซ้อนทั้งทางทรวงปีกหูและทางปัจจัยทางจิตวิทยา การรักษาหูอื้อข้างเดียวจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการนั้นๆ และอาจรวมถึงการให้ยา การผ่าตัด การปรับแต่งรูปแบบการดำเนินชีวิต หรือการจัดการกับปัญหาทางจิตวิทยาถ้ามี

  • โรคหูและทางหลอดหู: ปัญหาในหู เช่น การติดเชื้อหู การสะสมของเหล็กในหู หรือปัญหาในทางหลอดหู เป็นต้น อาจส่งผลให้เกิดเสียงหูอื้อข้างเดียว
  • การบวมหรือความเสียหายในหูหรือที่ใกล้เคียง: การบวมหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นในหูหรือโคนเคราะห์ที่อยู่ใกล้หูสามารถทำให้เกิดเสียงหูอื้อ
  • ปัจจัยทางจิตวิทยา: ความเครียด ภาวะซึมเศร้า หรือปัญหาทางจิตวิทยาอื่นๆ สามารถทำให้เกิดอาการหูอื้อ
  • การใช้ยาหรือสารเคมี: บางครั้งการใช้ยาหรือสารเคมีบางชนิดสามารถทำให้เกิดเสียงหูอื้อได้
  • การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของกระดูกในศีรษะ: การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของกระดูกในศีรษะ เช่น กระดูกช่องแก้วหู อาจทำให้เกิดเสียงหูอื้อ
  • โรคระบบประสาท: โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) หรือโรคลมบ้าหู (Meniere’s disease) สามารถทำให้เกิดเสียงหูอื้อได้

การบรรเทาและป้องกันอาการหูอื้อ

การแก้ไขหรือบรรเทาอาการหูอื้อขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เป็นเบื้องต้นของปัญหานั้นๆ การบรรเทาอาการเป็นเพียงทางเลือกทั่วไป ถ้าคุณมีอาการหูอื้อควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมตามสาเหตุของอาการ  นี่คือบางวิธีที่อาจช่วยบรรเทาหรือลดอาการหูอื้อ

  • การลดความเครียดและสตรีส: การวางแผนการจัดการความเครียดและสตรีสอาจช่วยลดอาการหูอื้อ การใช้เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การทำโยคะหรือการฟังเพลงผ่อนคลายอาจมีประโยชน์
  • การหลีกเลี่ยงเสียงรบกวน: พยายามลดการติดต่อกับเสียงรบกวนที่อาจทำให้อาการหูอื้อมีการเพิ่มขึ้น
  • การรักษาโรคหูและทางหลอดหู: หากหูอื้อเกิดจากการติดเชื้อหรือปัญหาในหู การรับการรักษาที่ถูกต้องจากแพทย์อาจช่วยลดหรือกำจัดอาการได้
  • การใช้เครื่องช่วยฟัง: ในบางกรณีเครื่องช่วยฟังอาจช่วยลดการรู้สึกของเสียงหูอื้อ
  • การพยาบาลแบบเฉพาะบุคคล: การให้คำปรึกษาจากนักจิตวิทยาหรือนักจิตเวชอาจช่วยในการจัดการกับอาการทางจิตใจที่อาจทำให้หูอื้อมีอาการมากขึ้น
  • การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิต: การพยายามที่จะลดการบริโภคสารต stimulants และลดการดื่มแอลกอฮอล์ อาจช่วยลดอาการหูอื้อ
  • การใช้ยา: ในบางกรณีแพทย์อาจสั่งให้ใช้ยาที่มีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการหูอื้อ เช่น ยาต้านเชื้อ ยาต้านอัลไลจีน หรือยาลดประสาท

การรักษาอาการหูอื้อ

การรักษาอาการหูอื้อจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการนั้นๆ และอาจต้องรักษาเฉพาะตามความเป็นมาของแต่ละบุคคล นี่คือบางวิธีที่อาจช่วยรักษาหรือบรรเทาอาการ

  • การรักษาโรคหูและทางหลอดหู: หากหูอื้อเกิดจากโรคหู การใช้ยาต้านเชื้อ การรับการรักษาทางการแพทย์ หรือการผ่าตัด (ในกรณีที่จำเป็น) อาจช่วยลดหรือกำจัดอาการ
  • การบริหารจัดการความเครียด: การใช้เทคนิคการผ่อนคลาย โยคะ หรือการฝึกการหายใจลึกๆ อาจช่วยลดความเครียดที่อาจทำให้หูอื้อมีอาการมากขึ้น
  • การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิต: การลดการบริโภคสารต stimulants การลดการดื่มแอลกอฮอล์ หรือการปรับแต่งรูปแบบการนอนหลับอาจช่วยลดอาการหูอื้อ
  • การใช้เครื่องช่วยฟัง: ในบางกรณีเครื่องช่วยฟังอาจช่วยลดการรู้สึกของเสียงหูอื้อ
  • การใช้ยา: การใช้ยาต้านอัลไลจีน ยาต้านเชื้อ หรือยาลดประสาท อาจถูกนำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการหูอื้อ
  • การตรวจร่างกายเชิงลึก: กระบวนการตรวจร่างกายเชิงลึก เช่น audiometry (การทดสอบการได้ยิน) อาจถูกนำมาใช้เพื่อประเมินและวินิจฉัยที่ถูกต้อง

บทสรุป

เมื่อมีอาการหูอื้อไม่ว่าจะเป็นข้างเดียวหรือสองข้าง เมื่อใช้วิธีบรรเทาอาการแล้วไม่ได้ผลควรจำไว้ว่าไม่มีการรักษาที่เป็นทางการสำหรับหูอื้อทุกรูปแบบ เพราะสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการนี้มีหลายประการ ดังนั้นที่สำคัญต้องปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาที่เหมาะสม

 

ติดตามเรื่องราวอื่นๆ และเกมส์ที่น่าสนใจได้ที่ : doodido.com

ขอบคุณภาพประกอบจาก : 

  • istockphoto.com

ขอบคุณแหล่งอ้างอิงจาก :

  • hse.ie
  • nhs.uk
  • thetinnitusclinic.co.uk