ข้าวคลุกกะปิ อาหารไทยอร่อยครบรสประเภทอาหารจานเดียว

จะอร่อยครบรส ข้าวคลุกกะปิ ไม่ได้ทำยากแต่ต้องใช้เวลาเตรียมเครื่องเคียง

ข้าวคลุกกะปิ อาหารไทยที่แต่ละบ้านมีวิธีทำแตกต่างกัน แต่ต้องย่างกะปิหรือผัดกะปิก่อนนำไปผัดข้าว กะปิเป็นสิ่งสำคัญมากที่ทำให้ข้าวหอมอร่อย ชีวิตในยุคปัจจุบันการย่างกะปิไม่สะดวกแล้วเพราะต้องไปหาใบตองมาห่อ ต้องติดไฟเพื่อย่างกะปิ วิธีผัดเพื่อฆ่าเชื้อโรคจึงง่ายที่สุด ข้าวที่ใช้ผัดกะปิเมล็ดข้าวต้องไม่เกาะติดกัน ก่อนหุงจึงต้องผัดข้าวกับน้ำมันก่อนจนเมล็ดข้าวขุ่น พอหุงสุกข้าวจะเป็นเมล็ดสวยนุ่มไม่แข็ง

ส่วนเครื่องเคียงก็แตกต่างกันไป โดยทั่วไปจะมีหมูหวาน กุ้งแห้งทอด หอมแดงซอย มะม่วงเปรี้ยวซอย ไข่ทอดหั่นฝอย พริกขี้หนูซอย แต่ที่บ้านจะมีเกสรชมพู่มะเหมี่ยวสีชมพูสดโรยหน้าด้วยเสมอ ถ้าไม่มีจะใช้กลีบดอกดาหลาสีแดงซอยแทนก็อร่อยเหมือนกัน ทั้งเกสรชมพู่และดอกดาหลาไม่ใช่สวยอย่างเดียว แต่จะมีรสเปรี้ยวและกรอบทำให้ทานอร่อยขึ้น

วิธีทานข้าวคลุกกะปิต้องคลุกข้าวกับเครื่องเคียงต่างๆ ให้ผสมผสานกัน ถ้าชอบเผ็ด เค็ม เปรี้ยว ก็เติมพริก น้ำปลา และน้ำมะนาวตามชอบ และมักจะทานคู่กับแกงจืด ที่บ้านชอบทำแกงจืดฟัก วิธีทำก็เหมือนกับการทำแกงจืดทั่วไป ถ้าไม่ใส่เนื้อสัตว์ เช่น หมูสับก็จะใส่กุ้งแห้ง ปลาหมึกแห้ง แทนเพื่อให้มีรสหวานอร่อยขึ้น หรือถ้ามีหอยเชลล์แห้ง แฮมยูนนานของจีน ก็ใส่ลงต้มด้วยได้ น้ำซุปจะหอมอร่อยขึ้น

ส่วนผสม

  1. ข้าวหุงสุก                               4              ถ้วย
  2. กะปิ                                        4              ช้อนโต๊ะ
  3. มันหมูแข็ง                               2              กิโลกรัม

ส่วนผสมหมูหวาน

  1. หมูสามชั้น                              500         กรัม
  2. น้ำตาลปึก                              100         กรัม
  3. น้ำตาลทราย                          50           กรัม
  4. น้ำปลา                                   2-3        ช้อนโต๊ะ
  5. ซีอิ๊วดำ                                    1          ช้อนโต๊ะ
  6. หอมแดงซอย                         1              ถ้วย
  7. น้ำมะขามเปียก                     2-3          ช้อนโต๊ะ  (ถ้ามะขามไม่เปรี้ยวต้องใส่เพิ่มอีก)
  8. น้ำต้มหมูใส่พอท่วมหมู

ส่วนผสมเครื่องเคียง

  • กากหมู  กุ้งแห้งทอด กุ้งแห้งป่น  ไข่เจียวทอดบางและหั่นฝอย กระเทียมเจียว เกสรชมพู่มะเหมี่ยวหรือกลีบดอกดาหลาซอย มะม่วงเปรี้ยวซอยเป็นเส้นสั้นๆ พริกขี้หนูซอย มะนาว และน้ำปลา

วิธีทำ

วิธีหุงข้าว ซาวข้าว 2-3 ครั้งเพื่อล้างแป้งออก ผัดข้าวกับน้ำมันจนเมล็ดข้าวขุ่น หุงตามปกติ เมื่อหุงสุกเมล็ดข้าวจะร่วนไม่ติดกัน

  1. ปอกหอมแดง ซอยบาง แบ่งเป็น 2 ส่วน
  2. หั่นมันหมูแข็งเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 1/2 เซนติเมตร ใส่กระทะ ใส่น้ำพอท่วม ตั้งไฟปานกลางจนเดือด เคี่ยวจนน้ำแห้งและมันหมูเริ่มเป็นสีทอง ตักกากหมูออกและเก็บน้ำมันไว้ใช้
  3. ทอดกุ้งแห้งในน้ำมันหมู ใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน ทอดจนกุ้งแห้งกรอบเป็นสีเหลืองทอง
  4. ทำหมูหวานโดยต้มหมูสามชั้น (ใส่น้ำพอท่วม) 15 นาที ตักหมูขึ้น หั่นเป็นชิ้นเล็กบาง ใส่กลับลงในน้ำต้มหมู ใส่น้ำตาลปึก น้ำตาลทราย ซีอิ๊วดำ และน้ำปลา ต้มต่อประมาณ 20 นาที ใส่น้ำส้มมะขามและหอมแดงซอย 1 ส่วน ต้มต่อจนน้ำงวดและหมูหวานขึ้นมัน ชิมรสให้หวาน เค็ม ตามด้วยเปรี้ยวนิดๆ
  5. ทำไข่ฝอยโดยตอกไข่ใส่ชาม ตีพอเข้ากัน ทาน้ำมันหมูบางๆ บนกระทะให้ทั่ว เทไข่ใส่ กรอกให้ทั่ว พอไข่เริ่มแข็งกลับให้สุกทั้ง 2 ด้าน (อย่าให้ไข่มีสีน้ำตาล) ตักขึ้น ม้วนและซอยฝอย
  6. ตักกะปิใส่กระทะพร้อมน้ำมันที่ทอดกุ้งแห้ง ผัดจนกะปิหอม ตักข้าวที่หุงไว้ใส่ ผัดจนทั่วและกะปิเคลือบเมล็ดข้าว ตักใส่โถข้าว เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงและแกงจืดฟัก

ฟักอ่อน น้ำซุปไก่หรือน้ำซุปหมู  กุ้งแห้ง หอยเชลล์แห้งหรือแฮมยูนนาน น้ำตาลกรวด เมล็ดพริกไทย และกระเทียมทั้งเปลือก

วิธีทำ

  1. ปอกเปลือกฟัก เอาเมล็ดออก หั่นเป็นชิ้นเล็ก ต้มในน้ำซุป ใส่ส่วนผสมอื่นทั้งหมด ต้มจนฟักนุ่ม ชิมรสตามชอบ
  2. หมูหวานใส่น้ำตาลทรายเพื่อให้เนื้อหมูขึ้นเงาสวย
  3. ข้าวที่ใช้หุงสำหรับผัดกะปิจะเป็นข้าวเก่าหรือข้าวใหม่ก็ได้ แต่ต้องผัดกับน้ำมันก่อน ถ้าต้องการให้ข้าวนุ่มใส่ข้าวเหนียวเพิ่มในอัตราส่วนข้าวเจ้า 3 ส่วน : ข้าวเหนียว 1 ส่วน
  4. ไข่ฝอยเมื่อตีไข่ให้เข้ากันแล้วควรเทผ่านกระชอน เมื่อทอดแล้วเนื้อไข่จะเนียน

สูตรอาหารพื้นบ้าน สูตรอาหารภูมิภาค สูตรอาหารจานด่วน สูตรอาหารท้องถิ่น สูตรอาหารประเทศเพื่อนบ้าน สูตรอาหารนานาชาติ สูตรอาหารจานเดียว หิวเมื่อไหร่ก็สามารถทำอาหารเป็นจาน ๆ แล้วกินได้เลย มีอาหารให้เลือกหลากหลาย ใครเบื่อที่จะกินข้าวร้านตามสั่งเดิม ๆ แล้วล่ะก็ วันนี้ เราใจดีแจก สูตรอาหารยอดฮิต ทั้งข้าว ทั้งเส้น ฟินได้ไม่มีเบื่อ! เอาไว้ทำอาหารกินเองที่บ้าน ถ้าอยากทราบว่ามีเมนูอาหารอะไรกันบ้างก็ตามมาเลย! อ่านต่อได้ที่ doodido

ที่มา : นิตยสาร Gourmet & Cuisine