ข้อควรระวัง!! พฤติกรรมใดบ้างที่เสี่ยงต่อ “มะเร็งลำไส้ใหญ่”

WM

แนะนำปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ก็ช่วยลดความเสี่ยงจาก มะเร็งลำไส้ได้

ขึ้นชื่อว่า “มะเร็ง” แล้วเนี่ยถือได้ว่าเป็นโรคร้ายที่น่ากลัวเลยใช่มั้ยล่ะคะ ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปอดหรือมะเร็งตับ เป็นต้น เพราะโรคนี้คร่าชีวิตของใครต่อใครไปมากแล้ว เพราะหลายๆ คนที่เป็นแล้วกว่าจะรู้ตัวก็สายเกินแก้ไป แต่ในทางกลับกันก็มีผู้คนที่หายจากโรคร้ายนี้ด้วยเช่นกันค่ะ อาจจะเป็นสาเหตุเพราะรู้ตัวถึงโรคแล้วได้รับการรักษาได้ทันท่วงที ในวันนี้จึงจะมาอธิบายเกี่ยวกับ “พฤติกรรมก่อมะเร็งลำไส้ใหญ่” ค่ะ เพราะถ้าหากทราบพฤติกรรมที่อาจเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ตั้งแต่เนิ่นๆ ก็จะช่วยลดโอกาสในการเป็นโรคนี้ได้มาก

มะเร็งลำไส้ใหญ่ อาจไม่ใช่โรคมะเร็งชนิดแรกๆ ที่หลายคนนึกถึง เพราะส่วนใหญ่อาจจะเคยได้ยินแต่มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับ หรือมะเร็งปอดกันเสียมากกว่า แต่อันที่จริงแล้ว มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นมะเร็งที่พบผู้ป่วยในไทยเป็นจำนวนมาก ในปี 2553 พบผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่เป็นเพศชายมากเป็นอันดับ 2 จากโรคมะเร็งทั้งหมด และเป็นอันดับ 3 ในเพศหญิงอีกด้วย

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/alicia_harper-16897639/

มะเร็งลำไส้ใหญ่ คืออะไร?

มะเร็งลำไส้ใหญ่ คืออาการที่พบก้อนเนื้อ หรือติ่งเนื้อที่เป็นเซลล์มะเร็งบริเวณผนังลำไส้ใหญ่ ที่ปกติทำหน้าที่แปรของเสียเหลว ที่ถูกดูดซึมเอาสารอาหารที่มีประโยชน์ออกไปเรียบร้อยแล้ว ให้เป็นอุจจาระแข็งเพื่อรอการขับถ่ายออกจากร่างกาย

มะเร็งลำไส้ใหญ่ มีสาเหตุจากอะไร?

มะเร็งลำไส้ใหญ่ ก็เหมือนกับโรคมะเร็งชนิดอื่นๆ ที่ไม่อาจทราบถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคได้อย่างแน่ชัด ทราบเพียงแต่ความเสี่ยงที่อาจทำให้มีโอกาสเป็นโรคนี้สูงกว่าปกติเท่านั้น

ใครมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่บ้าง?

– ผู้ที่มีสมาชิกครอบครัว หรือญาติ ที่เคยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบมาก่อน

– มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป

พฤติกรรมเสี่ยง “มะเร็งลำไส้ใหญ่”

  • รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงมากเกินไป
  • รับประทานอาหารประเภทเนื้อแดง ปิ้งย่าง ที่มีลักษณะไหม้เกรียมบ่อยๆ
  • รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อยเกินไป
  • สูบบุหรี่
  • ดื่มแอลกอฮอล์
  • ขาดการออกกำลังกาย
  • มีพฤติกรรมเนือยนิ่ง เช่น นักดูทีวีทั้งวัน นั่งติดเก้าอี้ นอนติดเตียง
  • น้ำหนักเกินมาตรฐาน (อ้วน)
WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/derneuemann-6406309/

มะเร็งลำไส้ใหญ่ มีอาการอย่างไร?

ในระยะแรกผู้ป่วยจะไม่รู้ตัวว่ากำลังเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่อยู่ แต่จะแสดงสัญญาณเตือนที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่าย เช่น ท้องผูกสลับท้องเสีย อุจจาระก้อนเล็กลง อุจจาระมีเลือดปน (ซึ่งหลายคนอาจคิดว่าเป็นโรคริดสีดวงทวาร) และอาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ซีด หรือน้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุอีกด้วย

มะเร็งลำไส้ วินิจฉัยได้อย่างไร ?

หลังจากที่มีการวินิจฉัยแล้วระบุว่าเป็นมะเร็งลำไส้ หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่แล้วนั้น แพทย์ก็จะแบ่งระยะของมะเร็งชนิดนี้ได้ตามการแพร่กระจายของโรค ดังนี้

Stage 0 / ระยะที่ 0 : มะเร็งลำไส้ในระยะนี้เป็นแค่เพียงระยะเริ่มต้น โดยเซลล์มะเร็งยังอยู่แค่เฉพาะบริเวณผนังของลำไส้

Stage 1 / ระยะที่ 1 : ในระยะนี้ก็เช่นกันที่มะเร็งจะยังไม่แพร่กระจายออกจากผนังลำไส้

Stage 2 / ระยะที่ 2 : มะเร็งได้แพร่ออกนอกลำไส้ แต่ยังไม่แพร่ไปสู่ต่อมน้ำเหลือง

Stage 3 / ระยะที่ 3 : มะเร็งได้แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เคียง แต่ยังไม่ได้แพร่ไปยังอวัยวะอื่นๆ

Stage 4 / ระยะที่ 4 : มะเร็งได้แพร่กระจายออกไปยังอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย แต่จะแพร่ยังตับและปอดมากที่สุด

Recurrent : ผู้ป่วยกลับมาเป็นมะเร็งซ้ำหลังจากที่ทำการรักษา

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/silviarita-3142410/

มะเร็งลำไส้ใหญ่ ป้องกันอย่างไร?

แม้ว่าดูเหมือนจะเป็นโรคร้ายแรงที่อันตราย เพราะไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่เราสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ง่ายๆ เพียงลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง ลดจำนวนครั้งในการทานอาหารประเภทเนื้อแดง และปิ้งย่าง ทานอาหารที่มีกากใยอาหาร เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชต่างๆ ให้มากขึ้น ลดการสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ และที่สำคัญคือ ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ รับรองว่าเคล็ดลับง่ายๆ เพียงเท่านี้ ก็ช่วยลดความเสี่ยในการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้มากเลยทีเดียวค่ะ

ทุกคนต้องลองสังเกตตัวเองดูนะคะ สำหรับใครที่ชอบทานปิ้ง ย่าง ไม่ชอบทานผักผลไม้และไม่ชอบออกกำลังกายแล้ว พฤติกรรมเหล่านี้เป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงมะเร็งลำไส้ที่สุดเลยล่ะ เพราะฉะนั้นแล้วการทานอาหารที่มีกากใยสูง หมั่นออกกำลังกายและละเว้นอาหารที่มีไขมันสูงจึงเป็นเรื่องที่ควรทำสำหรับทุกคนเลยค่ะ บางคนอาจจะละเลยสิ่งเหล่านี้เพราะคิดว่าเป็นเรื่องของคนที่อยากลดน้ำหนักแต่แท้จริงแล้ว การรักษาสุขภาพนั้น DooDiDo คิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับทุกคนมากๆ เลยนะค่ะ

ขอบคุณแหล่งที่มา: www.sanook.com