ความตระหนักถึง ปัญหาด้านสุขภาพจิต ในสังคมปัจจุบัน

ปัญหาด้านสุขภาพจิต

ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ปัญหาด้านสุขภาพจิต ได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่สําคัญมากขึ้น ผู้คนจากทุกสาขาอาชีพกําลังต่อสู้กับความท้าทายด้านสุขภาพจิตที่หลากหลายและเป็นสิ่งสําคัญที่จะต้องสร้างความตระหนักทําลายความอัปยศเกี่ยวกับ ปัญหาด้านสุขภาพจิต และสนับสนุนให้บุคคลแสวงหาการสนับสนุนที่พวกเขาต้องการ บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ความกระจ่างเกี่ยวกับความสําคัญของความตระหนักด้านสุขภาพจิตผลกระทบของการตีตราและความสําคัญของการแสวงหาการสนับสนุน ด้วยการแก้ไขปัญหาเหล่านี้เราสามารถส่งเสริมสังคมที่ให้ความสําคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตใจและสนับสนุนผู้ที่ประสบปัญหาสุขภาพจิต

เข้าใจสุขภาพจิต

สุขภาพจิตหมายถึงความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์จิตใจและสังคมของบุคคล มันมีผลต่อวิธีคิดความรู้สึกและการกระทําของแต่ละบุคคลซึ่งมีอิทธิพลต่อความสามารถในการรับมือกับความเครียดรักษาความสัมพันธ์และนําทางความท้าทายของชีวิต สุขภาพจิตเป็นสิ่งจําเป็นสําหรับความเป็นอยู่โดยรวมและมีความสําคัญพอ ๆ กับสุขภาพกาย

ความสําคัญของความตระหนักด้านสุขภาพจิต

ความตระหนักด้านสุขภาพจิตมีบทบาทสําคัญในสังคม ด้วยการเพิ่มความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิตเราสามารถส่งเสริมความเห็นอกเห็นใจลดการเลือกปฏิบัติและกระตุ้นให้บุคคลขอความช่วยเหลือเมื่อจําเป็น สิ่งสําคัญคือต้องตระหนักว่าปัญหาสุขภาพจิตเป็นเรื่องปกติและอาจส่งผลกระทบต่อทุกคนโดยไม่คํานึงถึงอายุเพศหรือภูมิหลัง

สุขภาพจิตและสัญญาณ

สุขภาพจิตและสัญญาณของการเกิดปัญหา

โดยทั่วไปแล้ว ความเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมก่อนที่ความเจ็บป่วยด้านจิตใจจะเกิดขึ้นมักมีสัญญาณเตือนบางอย่าง เช่น

  • เบื่ออาหาร
  • มีความคิดในด้านลบเกี่ยวกับตนเอง
  • รู้สึกกังวลหรือหนักใจบ่อยครั้ง
  • รู้สึกสิ้นหวังหรือกดดันเป็นอย่างมาก
  • รู้สึกหวาดระแวง สงสัย หรือวิตกกังวลต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัวมากขึ้น
  • ฉุนเฉียวหรืออารมณ์แปรปรวน
  • ไม่มีสมาธิ
  • ไม่มีความสุขกับชีวิตอย่างที่เคย
  • มีความรู้สึกว่าการใช้ชีวิตในแต่ละวันเป็นเรื่องยากลำบาก
  • มักมีความคิดใหม่ ๆ หรือมีความรู้สึกแปลก ๆ เกิดขึ้น หรืออาจไม่มีความรู้สึกใดเลย
  • นอนหลับมากเกินไปหรือมีปัญหาด้านการนอนหลับ
  • ไม่ดูแลตนเองและความสะอาด
  • แยกจินตนาการกับความจริงได้ลำบาก
  • พูดจาสับสนหรือมีปัญหาด้านการสื่อสาร
  • แยกตัวออกจากสังคมหรือใช้วลาอยู่กับตัวเองมากกว่าปกติ
  • มีปัญหาผลการเรียนหรือการทำงานแย่ลง

อย่างไรก็ตาม หากพบว่าตนเองมีพฤติกรรมเหล่านี้อย่างต่อเนื่องหรือพฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เพราะปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตนั้นได้รับการรักษาเร็วเท่าไหร่ โอกาสในการรักษาหายก็จะสูงตามไปด้วย

สุขภาพจิต ผิดปกติอย่างไรได้บ้าง ?

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับสุขภาพจิตนั้นมีอยู่หลากหลาย ทั้งโรคและภาวะที่พบได้มาก อาทิ ภาวะซึมเศร้า โรควิตกกังวล (Anxiety Disorders) โรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar Disorder) โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive Compulsive Disorder: OCD) โรคจิตเภท (Schizophrenia) หรือโรคจิต (Psychosis) ซึ่งลักษณะอาการโดยทั่วไปของปัญหาทางจิตเวชเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับความคิด การรับรู้ อารมณ์ รวมถึงความสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วย

แม้ว่าทางการแพทย์จะยังไม่สามารถระบุสาเหตุของการเกิดปัญหาด้านสุขภาพจิตได้อย่างชัดเจน แต่ก็พบข้อมูลว่าอาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม สารเคมีในสมอง หรืออาจเกิดจากสาเหตุทั้ง 3 อย่างรวมกัน โดยสิ่งที่อาจกระตุ้นให้เกิดความผิดปกติของสุขภาพจิต ได้แก่ การได้รับบาดแผลทางจิตใจ การถูกทอดทิ้ง การเกิดภาวะโดดเดี่ยวทางสังคมหรือความเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง ทั้งนี้ การรู้ถึงสัญญาณของความผิดปกติถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมในเวลาอันรวดเร็ว

แสวงหาการสนับสนุนด้านสุขภาพจิต

ตระหนักถึงความจําเป็นในการสนับสนุน

การตระหนักถึงสัญญาณของปัญหาสุขภาพจิตและการยอมรับความต้องการการสนับสนุนเป็นขั้นตอนแรกในการขอความช่วยเหลือ จําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใส่ใจกับการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์พฤติกรรมและความคิด รูป แบบ หากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ยังคงมีอยู่และรบกวนชีวิตประจําวันการขอความช่วยเหลือเป็นสิ่งสําคัญ

ทรัพยากรที่มีอยู่และตัวเลือกการรักษา

มีแหล่งข้อมูลและตัวเลือกการรักษามากมายสําหรับบุคคลที่กําลังมองหาการสนับสนุนสําหรับปัญหาสุขภาพจิต เหล่านี้รวมถึงการบําบัดการให้คําปรึกษากลุ่มสนับสนุนสายด่วนและแพลตฟอร์มออนไลน์ จําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสํารวจลู่ทางต่างๆ และค้นหาระบบสนับสนุนที่ทํางานได้ดีที่สุดสําหรับความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคล

สรุปได้ว่า ความตระหนักด้านสุขภาพจิต มีความสําคัญสูงสุดในสังคมปัจจุบัน ด้วยการทําลายความอัปยศที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตเราสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่บุคคลรู้สึกสบายใจที่จะขอความช่วยเหลือ ทุกคนสมควรได้รับความเห็นอกเห็นใจความเข้าใจและการเข้าถึงทรัพยากรที่จําเป็นสําหรับความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตใจของพวกเขา ขอให้เราทํางานร่วมกันเพื่อส่งเสริมความตระหนักด้านสุขภาพจิตทําลายความอัปยศและส่งเสริมสังคมที่ให้ความสําคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตใจของสมาชิกทุกคน

สุขภาพจิตมีปัญหา ควรทำอย่างไร ?

หากพบความผิดปกติเกิดขึ้นกับสุขภาพจิตแล้ว การเริ่มพูดคุยกับจิตแพทย์ในช่วงแรกอาจเป็นเรื่องยาก ผู้ป่วยควรวางเป้าหมายในการพูดคุยแต่ละครั้ง จดบันทึกข้อมูลสำคัญที่คาดว่าก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต และควรเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาในระหว่างการพูดคุยให้มากที่สุด เพื่อการเลือกใช้ยารักษาได้อย่างเหมาะสม ให้คำปรึกษาหรือแนะนำการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตได้ตรงจุด หรือส่งต่อการรักษาให้แพทย์เฉพาะทางที่เป็นประโยชน์ต่อความผิดปกติที่เกิดขึ้น

ในระหว่างการรักษาความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับสุขภาพจิต ผู้ป่วยควรรับประทานยาอย่างต่อเนื่องแม้จะรู้สึกดีขึ้นแล้วก็ตาม ไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และไม่ใช้สารเสพติด ทั้งนี้ ผู้ป่วยไม่ควรเว้นช่วงหรือหยุดรับประทานยาเอง เพราะอาจทำให้อาการกลับมาเกิดซ้ำอีกครั้งหรืออาจทำให้มีอาการคล้ายกับอาการถอนยาได้หากหยุดรับประทานยาอย่างกะทันหัน

อย่างไรก็ตาม สุขภาพจิตที่มีความผิดปกติอาจส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกายและการใช้ชีวิต หากปล่อยทิ้งไว้โดยที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและถูกวิธี ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาต่ออารมณ์ พฤติกรรมและร่างกายที่ร้ายแรง นั่นก็เพราะปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตนั้นไม่สามารถหายไปได้เอง ยิ่งปล่อยทิ้งไว้ก็จะยิ่งยากต่อการรักษา ดังนั้น จึงควรให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตเพื่อให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขภาพดีและมีความสุข

5 ปัญหาสุขภาพจิต ที่ชาวออฟฟิศควรระวัง

1. เครียดสะสม

การใช้ชีวิตบนความตึงเครียด ความกดดัน และมีความคาดหวังสูง 5-6 วันต่อสัปดาห์ มักเป็นสาเหตุของอาการเครียดสะสม หนึ่งในปัญหาสุขภาพจิตที่หลายคนเป็นแต่ไม่รู้ตัว เรียกได้ว่ารู้ตัวอีกทีก็อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานและคนรอบข้างไปแล้ว สังเกตได้จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปทั้งด้านอารมณ์และการใช้ชีวิต เช่น นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก นิ่งเงียบ เบื่อหน่ายชีวิต เศร้าหมอง ความต้องการทางเพศลดลง เป็นต้น ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้อาจกลายเป็นภาวะอันตรายที่นำไปสู่ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางกายตามมาได้ ทั้งหัวใจ ความดันโลหิต ไมเกรน เครียดลงกระเพาะ และอื่นๆ ได้

จัดการความเครียด (ก่อน) สะสม ด้วยการวิเคราะห์ถึงต้นตอของปัญหาและแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุนั้นๆ จัดแจงสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้ดูสดชื่น ด้วยการปรับเปลี่ยนมุมโต๊ะทำงานใหม่ลดความจำเจ และบำบัดตัวเองด้วยการออกไปพบปะผู้คน ท่องเที่ยว ชอปปิง หรือวิธีที่สามารถทำได้ง่ายด้วยการออกไปเดินสูดอากาศที่สวนสาธารณะก็ช่วยให้ผ่อนคลายได้ดียิ่งขึ้น แต่ถ้ารู้สึกว่าไม่สามารถจัดการกับความเครียดด้วยตัวเองได้ หรือเครียดมากจนไม่ไหวแนะนำให้ปรึกษาจิตแพทย์ หรือนักบำบัด พูดคุยเพื่อหาแนวทางแก้ไขวิธีอื่นๆ แทน หรือรับประทานยาที่ช่วยให้ผ่อนคลายมากขึ้น

2. ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout Syndrome)

อาจเรียกได้ว่าเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่กำลังมาแรงในกลุ่มพนักงานออฟฟิศ คือภาวะการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจอันมีที่มาจากความเครียดสะสม ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การอนามัยโลก (WHO) แล้วว่าเป็นโรคที่สามารถส่งผลรุนแรงและคุกคามการดำเนินชีวิตได้หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธีจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยสาเหตุมักเกิดจากความเครียดเรื้อรังในการทำงาน ภาระงานที่หนักซับซ้อนเกินกว่าที่จะรับผิดชอบได้ไหว บั่นทอนจิตใจจนกลายสภาพเป็นความหมดไฟในที่สุด ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ส่งผลให้มุมมองที่มีต่อการทำงานเป็นไปในด้านลบ ขาดความสุข หมดแรงจูงใจไม่อยากลุกไปออฟฟิตในยามเช้า และอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานต่ำลง ซึ่งหากปล่อยให้นานวันเข้าอาจมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นและเสี่ยงต่อการเกิดโรคซึมเศร้าได้

รับมือกับภาวะหมดไฟได้อย่างกล้าหาญ เพียงรับรู้ว่าร่างกายและจิตใจของตนเองกำลังเข้าสู่ภาวะความเหนื่อยหน่ายจากการทำงานได้ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป ด้วยการเปิดใจกับคนรอบข้าง ปรึกษาเพื่อนร่วมงาน หรือหัวหน้าถึงปัญหาที่ต้องแบกรับไว้ ยอมรับในความต่าง รับฟังความคิดเห็นที่อาจไม่ตรงกัน ปล่อยวางในเรื่องที่นอกเหนือการควบคุม ฟื้นฟูแก้ไขก่อนจะสายได้ด้วยตัวเองโดยการไม่เก็บงานกลับไปทำที่บ้าน แยกเวลาส่วนตัวและงานออกจากกันให้ชัดเจน

3. ภาวะความพึงพอใจในตนเองต่ำ (Low self esteem)

ปัญหาสุขภาพจิตที่ชาวออฟฟิศหลายคนไม่รู้ตัวว่ากำลังเผชิญภาวะนี้อยู่ นั่นคือ ความรู้สึกเศร้าใจ ไม่ชอบสิ่งที่ตัวเองได้ตัดสินใจทำลงไปแล้วมากเสียจนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า สูญเสียความรู้สึกให้เกียรติตัวเอง แบกรับปัญหาและกล่าวโทษว่ามีต้นเหตุมาจากตัวเองไม่ดีพอ ตีความเหตุการณ์ต่างๆ ในแง่ลบเสมอ เป็นภาวะเสี่ยงมากที่จะก้าวข้ามสู่โรคซึมเศร้า สัญญาณเตือนที่เห็นได้ชัดเจนสำหรับผู้กำลังเผชิญวิกฤติ Low self esteem คือความอ่อนไหวไปกับเรื่องเล็กน้อยได้ง่าย วิตกกังวล ไปจนถึงกลัวการเข้าสังคมเพราะกลัวที่ต้องถูกปฏิเสธ ขณะเดียวกันก็ไม่กล้าปฏิเสธคำขอของผู้อื่นเนื่องจากกลัวไม่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากการขาดความเชื่อมั่นและศรัทธาในตนเองที่สะสมมาเป็นเวลานาน

สร้าง self esteem ด้วยตนเองได้ก่อนที่ความเชื่อมั่นทางใจจะหายไป โดยเริ่มจากการให้อภัยตนเองในความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ขอให้บอกตัวเองว่ามันได้ผ่านพ้นไปแล้ว พูดขอบคุณและให้คำชมกับตัวเองในทุกความสำเร็จแม้เป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย จะดียิ่งขึ้นหากได้แรงสนับสนุนจากคนรอบข้าง ที่สามารถมอบพลังบวกและความสบายใจให้ได้ ยอมรับว่าความสำเร็จของแต่ละคนมีความหมายไม่เท่ากัน หยุดเอาตัวเองไปเปรียบกับผู้อื่น ความสุขก็จะเกิดขึ้นได้ในหัวใจเราเอง

4. โรคซึมเศร้า (Depression)

เป็นการเจ็บป่วยอย่างหนึ่งเช่นเดียวกับโรคทางกายชนิดอื่นๆ การเป็นโรคซึมเศร้าไม่ได้มีความหมายว่าเป็นคนอ่อนแอ หรือไร้ความสามารถ แต่เกิดจากความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง ที่มีผลกระทบโดยรวมต่ออารมณ์ ความรู้สึก พฤติกรรม ไปจนถึงสุขภาพกาย ซึ่งจากสถิติพบว่าคนไทยอายุมากกว่า 15 ปี มีปัญหาสุขภาพจิต ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าสูงกว่า 1.5 ล้านคน เพราะนอกจากปัจจัยเสี่ยงที่มาพร้อมความเครียดจากงานที่กองล้นโต๊ะ ความกดดันจากการทำงานที่สะสางได้ยาก สภาพสังคม พันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม ล้วนมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าด้วย เราสามารถสำรวจตัวเองและคนรอบข้างว่าเข้าข่ายโรคซึมเศร้าหรือไม่ ด้วยอาการเศร้าซึม หม่นหมอง หดหู่ เก็บเนื้อเก็บตัว รู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งที่เคยทำให้มีความสุข ซึ่งอาจรุนแรงไปจนถึงขั้นคิดทำร้ายตัวเอง หรือทำแบบทดสอบภาวะซึมเศร้า เพื่อประเมินสุขภาพจิตของตัวเองเบื้องต้น

5. กลุ่มโรควิตกกังวลและแพนิค (Panic Disorder)

เป็นโรควิตกกังวลชนิดหนึ่ง เกิดจากระบบประสาทอัตโนมัติที่คอยควบคุมส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานผิดปกติ รวมถึงมีความเครียดและความกดดันเข้ามาเป็นตัวกระตุ้น มักแสดงอาการได้หลายอย่างร่วมกัน เช่น หัวใจเต้นแรง ใจสั่น เหงื่อออกมาก หายใจหอบ อาเจียน วิงเวียนแบบฉับพลัน ตัวชา ควบคุมตัวเองไม่ได้ ไปจนถึงการหวาดกลัวสิ่งรอบตัวจนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาสุขภาพจิตที่คุกคามชีวิตของคนวัยทำงานไม่มากก็น้อย

โรควิตกกังวลสามารถรักษาได้ด้วยการรับประทานยาเพื่อปรับสมดุลของสารเคมีในสมอง ควบคู่ไปกับการฝึกหายใจเพื่อควบคุมสติ รู้เท่าทันความกังวลในใจที่เกิดขึ้น แม้อาการภายนอกจะดูไม่เป็นอันตรายร้ายแรง แต่หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเป็นโรควิตกกังวลแล้วควรปรึกษาสุขภาพจิตกับจิตแพทย์ เพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกต้อง เนื่องจากอาการของโรคคล้ายคลึงกับปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่อาจส่งผลร้ายแรงมากกว่า เช่น โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบหัวใจ

คําถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: นิยามของสุขภาพจิตคืออะไร

A: สุขภาพจิต หมายถึง ความผาสุกทางอารมณ์ จิตใจ และสังคมของบุคคล

Q: การตีตราส่งผลกระทบต่อบุคคลที่มีความท้าทายด้านสุขภาพจิตอย่างไร

A: ความอัปยศอาจนําไปสู่การเลือกปฏิบัติการแยกทางสังคมและไม่เต็มใจที่จะขอความช่วยเหลือทําให้เกิดความทุกข์ทรมานเพิ่มเติมสําหรับบุคคลที่มีความท้าทายด้านสุขภาพจิต

Q: ฉันจะทําอย่างไรเพื่อทําลายความอัปยศเกี่ยวกับสุขภาพจิต

A: การท้าทายแบบแผน การให้ความรู้แก่ผู้อื่น และเพิ่มการรับรู้ผ่านการสนทนาและการแบ่งปันเรื่องราวส่วนตัวสามารถช่วยทําลายความอัปยศได้

Q: ฉันควรขอความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตเมื่อใด

A: หากคุณสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในอารมณ์พฤติกรรมหรือรูปแบบความคิดที่รบกวนชีวิตประจําวันของคุณจําเป็นต้องขอความช่วยเหลือ

Q: มีแหล่งข้อมูลอะไรบ้างสําหรับการสนับสนุนด้านสุขภาพจิต

A: มีแหล่งข้อมูลเช่นการบําบัดการให้คําปรึกษากลุ่มสนับสนุนสายด่วนและแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อให้การสนับสนุนสําหรับปัญหาสุขภาพจิต

ขอบคุณภาพประกอบจาก

ขอบคุณแหล่งอ้างอิงจาก:

ติดตามข่าวสาร ได้ที่ : https://doodido.com