“Aperitif” เครื่องดื่มเรียกน้ำย่อยทรงเสน่ห์สไตล์ฝรั่งเศส
“อาเปริตีฟ” เครื่องดื่มก่อนเริ่มมื้ออาหาร ก่อนจะถึงอาหารมื้อใหญ่ อาจจะเสิร์ฟกับอาหารเบาๆ
ถ้าหากจะจัดอันดับประเทศที่มีความโรแมนติกแล้วล่ะก็ เชื่อได้เลยว่ายังไงก็ต้องไปพ้นประเทศฝรั่งเศสอยู่ล่ะค่ะ อันดับแรกที่ผู้คนจะต้องนึกถึงในฝรั่งเศสคืออะไรกันหรอคะ แน่นอนว่าส่วนใหญ่ก็คงจะนึกถึงแต่ หอไอเฟล กันแน่นอนเลย หรือไม่ก็ พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Musée du Louvre) ซึ่งเหตุผลที่เป็นแบบนั้นก็ไม่ยากเลยค่ะเพราะอย่างแรกเลยหอไอเฟลนั้นเป็นถึงสัญลักษณ์ของฝรั่งเศส ที่คู่รักฟลายๆ คนก็เลือกที่จะไปถ่ายรูปพรีเวดดิ้งที่นี่กัน อีกทั้งพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Musée du Louvre) นั้นก็เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษางานศิลปะระดับโลกไว้
แต่ถ้าจะพูดถึงวัฒนธรรมการทาน การดื่มของคนฝรั่งเศสแล้วล่ะก็ คนฝรั่งเศสจะให้ความสำคัญกับมื้ออาหาร ตั้งแต่เรียกน้ำย่อยไปจนกระทั่งคอร์สสุดท้าย โดยเฉพาะการเรียกน้ำย่อยแบบฝรั่งเศส (French Apéritif) ด้วยเครื่องดื่ม “แพมเพลล์” (Pampelle) การเรียกน้ำย่อยแบบฝรั่งเศส (French Apéritif) มีความสำคัญไม่แพ้รายการอื่น เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่จะได้ต้อนรับแขก เป็นการแสดงให้เห็นว่าเจ้าของบ้านยินดีที่ได้พบแขกอีก ขณะเดียวกันก็เป็นการรอแขกที่ยังเดินทางมาไม่ถึง จะมีการเสิร์ฟเครื่องดื่มและอาหารเบา ๆ เรียกน้ำย่อย พร้อมกับใช้โอกาสนี้แนะนำแขกที่ยังไม่รู้จักกัน อาหารเรียกน้ำย่อยเรียกว่า แอปเปอร์ไทเซอร์ ( Appetizer) ส่วนเครื่องดื่มเรียกว่า อาเปริตีฟ (Apéritif)
Apéritif เป็นคำฝรั่งเศส มาจากคำลาติน Aperire แปลว่า เปิด (To Open) หมายถึงการเปิดหรือเริ่มมื้ออาหาร ก่อนจะถึงอาหารมื้อใหญ่ อาจจะเสิร์ฟกับอาหารเบา ๆ เช่น มะกอก ชีส ขนมปังกรอบ ฯลฯ ขณะที่คำแสลงในภาษาฝรั่งเศสของ Apéritif คือ “อาเปโฮร” (Apéro) หมายถึงอาหารที่กินในตอนบ่ายแก่ หรือก่อนมื้อค่ำ
Apéritif ปรากฏขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ.1796 ที่เมืองตูรินหรือโตริโน (Turin / Torino) เมืองหลวงของแคว้นเพียดมอนต์ (Piedmont) แหล่งผลิตไวน์ชั้นเยี่ยมของประเทศอิตาลีเมื่อ อันโตนิโอ เบเนเดตโต คาร์ปาโน (Antonio Benedetto Carpano) ค้นพบแวร์มุธ (Vermouth) โดยใช้ไวน์ขาว เติมด้วยสมุนไพร และเครื่องเทศที่สไปซี่ กว่า 30 ชนิด ก่อนจะผลิตออกมาขายในอีกทศวรรษต่อมา ภายใต้ชื่อมาร์ตินี (Martini) ชินซาโน (Cinzano) รอสซี (Martini & Rossi) คัมปารี (Campari) และกันชิอา (Gancia) ฯลฯ แต่ Apéritif มาได้รับความนิยมในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เริ่มจากในยุโรป และในช่วงทศวรรษ 1900 ก็ได้รับความนิยมในสหรัฐด้วย
แอพเพอริทิฟ (Aperitif) คือเหล้าที่นิยมดื่มก่อนอาหาร เป็นเครื่องดื่มเก่าแก่ จัดอยู่ในประเภทเหล้ายา นิยมมากในประเทศอิตาลี แอพเพอริทิฟทำมาจาก เหล้าองุ่น สมุนไพร และเครื่องเทศ แบ่งเป็น 3 ชนิดด้วยกัน
1. อนิซ (Anis)
เป็นเหล้ายาสีเหลืองใสทำจากเมล็ดของ Anis กลิ่นหอมเย็นๆนิยมดื่มแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ เช่น Pastis, Pernod, Ricard, แถมเจ้า “อนิซ”ยังเป็นเหล้าที่มีดีกรีสูงที่สุดในบรรดาเหล้าด้วยกัน
2. บิตเตอร์ (Bitter)
เป็นเหล้ายาที่มีรสชาติขม ชาวยุโรปนิยมนำมาดื่มแก้โรคกระเพาะ ซึ่งชาวยุโรปเชื่อว่าเจ้า Bitter มีส่วนช่วยในการย่อยอาหารได้ Bitter บางชนิดมีรสขมมาก บางชนิดก็มีรสชาติขมอมหวาน เช่น Branca, Branca Menta, Campari, Fernet Angostura Bitter
3. เวอร์มุท (Vermouth)
เป็นเหล้ายาทำจากรากไม้และเครื่องเทศ มีกลิ่นและรสชาติที่แตกต่างกันออกไป เวอร์มุทเป็นสุราหมักชนิดหนึ่ง บางครั้งถูกจัดอยู่ในประเภทไวน์เจริญอาหาร ฉะนั้น เวอร์มุทจึงเป็นสุราที่ทำมาจากองุ่น (ไวน์) และได้ผ่านการปรุงแต่งกลิ่นรสด้วยพืชสมุนไพร เครื่องเทศ เราสามารถเรียกอีกอย่างว่า อโรมาติก ไวน์ (Aromatic Wine-ไวน์ที่มีกลิ่นหอมของเครื่องเทศ) หรือ แอปเพอร์ริทิฟ ไวน์ (Aperitif Wine-ไวน์เจริญอาหาร) ก็ได้เพราะเป็นสุราที่ทำมาจากเหล้าองุ่นถึง 75% นั้นเเองครับ
ต้นกำเนิดของ “เวอร์มุท” มาจากประเทศ อิตาลี (Italy) นอกจากอิตาลีแล้ว ฝรั่งเศสก็เป็นอีกประเทศที่ผลิตเวอร์มุทอย่างแพร่หลาย ไม่มีข้อแตกต่างของเวอร์มุทที่ทำในฝรั่งเศสและอิตาลี เพียงแต่มีข้อเด่นคือ ฝรั่งเศส เชี่ยวชาญการผลิตเวอร์มุทแบบดรายและสีใส (Dry White) ส่วนอิตาลีเด่นในทางผลิตเวอร์มุทแบบหวานและสีแดง (Sweet Red) การทำเวอร์มุทค่อนข้างยุ่งยาก ส่วนสำคัญคือ เหล้าองุ่น โดยทั่วไปใช้ ”องุ่นขาว” ที่ไม่มีรสชาติ Vermouth มีอยู่หลายยี่ห้อด้วยกัน เช่น Barbero, Cinzano, Dubonet, Martini, Pimm’s No.1 เป็นต้น
เป็นยังไงล่ะคะกับ Aperitif ที่เป็นเครื่องดื่มทรงเสน่ห์สไตล์ฝรั่งเศษที่เราสามารถเข้าถึงได้ สำหรับคนฝรั่งเศสแล้วก็สามารถเรียกได้ว่าไม่ว่าจะบ้านเมืองหรือวัฒนธรรมการกิน การดื่มของพวกเค้าก็น่าสนใจไม่น้อยเลยล่ะค่ะ นอกจากนี้แล้ว Aperitif ทั้ง 3 ประเภทยังสามารถนำมาทำค็อกเทลได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น Anis’tini, Negroni หรือ Perfect Matini ซึ่งแน่นอนว่าถ้าหากว่าใครมาเป็นสายค็อกเทล หรือค็อกเทลเลิฟเวอร์แล้วล่ะก็ DooDiDo แนะนำยังไงก็ต้องห้ามพลาดนะค่ะ
ขอบคุณแหล่งที่มา: https://bartender-lv1.com , http://drinkvenezia.blogspot.com