จริงหรือไม่”คาเฟอีน” มีส่วนช่วยให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ได้ดีขึ้น?
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ”ประโยชน์ของคาเฟอีน”ในเครื่องดื่มที่เราคุ้นเคยดี
หากว่าด้วยเรื่องของ“คาเฟอีน” สารเคมีชนิดหนึ่งในอาหารที่เมื่อรับเข้าไปแล้วจะช่วยให้ร่างกายตื่นขึ้น ไม่ว่าจะด้วยการดื่มกาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง หรือน้ำอัดลม แต่ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ วันนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับคาเฟอีนให้มากขึ้น ว่าการบริโภคคาเฟอีนให้อะไรกับร่างกายของเราบ้าง เพราะบางคนก็รู้สึกว่าคาเฟอีนทำให้กระปรี้กระเปร่า สมองปลอดโปร่ง แต่บางคนกลับรู้สึกปวดหัว ใจสั่น คลื่นไส้ นอนไม่หลับเมื่อได้รับคาเฟอีน
กาแฟนั้นสกัดมาจากเมล็ดกาแฟชนิดต่างๆ มาเป็นกาแฟดำ รสชาติออกขม ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ ซึ่งมีคาเฟอีนอยู่ที่ 90 – 170 มิลลิกรัมต่อแก้ว มีสารอาหารและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โปรตีน แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส ฯลฯ โดยกาแฟดำหนึ่งแก้วจะมีปริมาณแคลอรี่น้อยมาก แต่ถ้าหากต้องการรสชาติเพิ่มขึ้นสามารถใส่พวกไซรัป นม และครีมเทียมได้ แต่แน่นอนว่าแคลอรี่ก็สูงตาม จากคำแนะนำและการวิจัยต่างๆ นั้น บ่งบอกว่าสามารถดื่มกาแฟได้ 3-4 แก้ว หรือไม่ควรเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน และวันนี้เราจะมาหาคำตอบกันค่ะว่าการบริโภคคาเฟอีนนั้นให้โทษหรือประโยชน์ต่อร่างกายกันแน่
ประโยชน์ของคาเฟอีน
- ร่างกายตื่นตัวในช่วงที่ต้องการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ขับรถ อ่านหนังสือ ทำงาน
- ช่วยให้สมองด้านความจำทำงานได้ดีขึ้น
- ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ เช่น พาร์กินสัน อัลไซเมอร์ ต้อกระจก นิ่วในถุงน้ำดี และโรคตับ
- เพิ่มความทนทานในการออกกำลังกาย ออกกำลังกายได้ดีขึ้น
- บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกายได้มากถึง 48%
- เป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เพราะมีส่วนช่วยให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ได้ดีขึ้น
- ปริมาณที่เหมาะสมต่อวัน
ปริมาณคาเฟอีนที่เหมาะสมสำหรับคนทั่วไป
คือไม่เกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน เมื่อเทียบกับเครื่องดื่มมีคาเฟอีนทั่วไปก็คือ
- กาแฟ 4 แก้ว (อาจแตกต่างไปตามความแรงของกาแฟแต่ละแบรนด์)
- น้ำอัดลมโคล่า 10 กระป๋อง
- เครื่องดื่มชูกำลัง 2 ขวด (ตามโฆษณาที่เราเคยได้ยินกันเลยว่า “ห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด”)
ผลข้างเคียงของคาเฟอีน
อย่างที่บอกว่าแม้ว่าจะมีประโยชน์ แต่ถ้าหากได้รับคาเฟอีนเข้าไปในร่างกายมากเกินความจำเป็น ผลข้างเคียงที่อาจตามมาก็คือ
- นอนไม่หลับ ส่งผลให้พักผ่อนไม่เพียงพอและคุณภาพการนอนต่ำลงไปด้วย
- ใจสั่น (เพราะกาแฟหรือแกฟะ?) เพราะกาแฟนี่แหละ คาเฟอีนจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท ซึ่งทำให้หัวใจเราเต้นเร็วขึ้นนั่นเอง
- เมื่อยล้า เมื่อร่างกายตื่นตัว ทำกิจกรรมต่างๆ ร่างกายอาจเกิดความเมื่อยล้าในช่วงที่ผ่านไปประมาณ 6 ชั่วโมงหรือในวันต่อมา อันเนื่องมาจากคาเฟอีนหมดฤทธิ์
- สูญเสียแคลเซียม นำไปสู่การสูญเสียมวลกระดูกและกระดูกพรุนในเวลาต่อมา
- ระบบย่อยอาหารและขับถ่ายมีปัญหา กรดไหลย้อน เนื่องจากคาเฟอีนเข้าไปเพิ่มความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร
- ปัสสาวะบ่อยขึ้น ดังนั้นควรจิบน้ำตามบ่อยๆ นะ
- ติดคาเฟอีน สำหรับใครที่รับคาเฟอีนเข้าร่างกายจำนวนมาก หรืออาจไม่มากแต่บ่อย ก็อาจเกิดอาการเสพติดจนทำให้เมื่อไม่กินแล้วง่วงและเหนื่อยง่ายกว่าปกติ
คาเฟอีนในอาหารอื่นๆ
นอกจากชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลังและน้ำอัดลมแล้ว คาเฟอีนยังอยู่ในอาหารบางชนิด เช่น เมล็ดทานตะวัน ช็อคโกแลต โกโก้ รวมไปถึงยาบางตัว เช่น พาราเซตามอล และยาที่รักษากลุ่มอาการ PMS
เลิกติดคาเฟอีนยังไงดี
ถึงตรงนี้เราเชื่อว่า ทั้งที่ทานคาเฟอีนมานาน หรือคนที่เพิ่งเริ่มได้ไม่นานก็อาจจะเริ่มมองหาวิธีการที่จะไม่ได้รับผลเสียจากการทานคาเฟอีน หรือไม่กลายเป็นคนติดคาเฟอีนแบบขาดไม่ได้ เราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดคาเฟอีนในชีวิตประจำวันได้ ดังนี้
- ค่อยๆ ลดทีละนิดๆ ตั้งแต่จำนวนแก้ว ไปจนถึงลดขนาดแก้วให้เล็กลงเพื่อให้ดื่มได้น้อยลง
- ทดแทนด้วยกาแฟ Decaf เพราะมีคาเฟอีนน้อยมาากกก แค่แก้วละประมาณ 10 มิลลิกรัมเท่านั้น ใครที่รักรสชาติของกาแฟและยังทำใจไม่ได้กับการต้องหักดิบเลิกไปเลย วิธีนี้เหมาะสุดๆ
จากข้อมูลที่ DooDiDo กล่าวมาข้างต้นเกี่ยวกับ ฟอีนที่อยู่ในเครื่องดื่มของเรานั้น หากคุณอยากลดคาเฟอีน ก็ลองเปลี่ยนมาดื่มชาสมุนไพร ที่รสชาติคล้ายกับชาที่เราดื่มอยู่ แต่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและไม่มีคาเฟอีน หันมาดูแลสุขภาพ ตั้งแต่นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารดีๆ ออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายสดชื่นได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนกันนะคะ
ขอบคุณแหล่งที่มา : www.mangozero.com/about-caffeine/