“โรคเฮอร์แปงไจน่า” โรคระบาดที่พบในเด็ก ที่คุณแม่ควรต้องระวัง!

WM

แนวทางในการรักษาและป้องกันการเกิด “โรคเฮอร์แปงไจน่า” 

สำหรับคุณพ่อคุณแม่นั้น เรื่องสุขภาพของลูกน้อยคงเป็นเรื่องที่กังวลใจกันอย่างมาก เพราะในตอนนี้มีโรคระบาดที่เกิดขึ้นกับเด็กหลายโรค ที่คุ้นหูกันดีคงจะหนีไม่พ้นโรคมือ เท้า ปาก อย่างแน่นอน แต่ยังมีอีกหนึ่งโรคที่คุณพ่อคุณแม่เองก็ยังไม่คุ้นเคย และวันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับ “โรคเฮอร์แปงไจน่า” นั่นเองค่ะ ซึ่งเป็นโรคระบาดในเด็กอีกโรคหนึ่งที่ไม่ค่อยคุ้นหูแต่ก็เป็นโรคที่พบบ่อยมากและส่งผลต่อสุขภาพเด็กๆ ได้ด้วย ถ้าพร้อมแล้วไปทำความรู้จักกันเลยค่ะ

โรคเฮอร์แปงไจน่า เป็นโรคที่ติดเชื้อจากไวรัสชนิดเดียวกันกับมือ เท้า ปาก ซึ่งเป็นกลุ่มของ เอนเตอโรไวรัส (Enterovirus) แต่มีอาการที่แตกต่างกันคือจะมีแผลเฉพาะที่ปากเท่านั้น ขณะที่มือ เท้า ปาก นอกจากจะมีแผลที่ปากแล้วจะมีผื่นขึ้นที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าด้วย สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางน้ำมูก ไอ จาม ลักษณะอาการจะมีไข้สูงประมาณ 39.5-40 องศาเซลเซียส และมีแผลในช่องปากบริเวณเพดานอ่อน ลิ้นไก่ ต่อมทอนซิล และในโพรงคอหอยด้านหลัง แต่ถ้าเป็นมือ เท้า ปาก ไข้จะไม่สูง และมีแผลกระจายอยู่ทั่วปาก รวมทั้งมีผื่นขึ้นที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าด้วย

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/klimkin-1298145/

กลุ่มเสี่ยง
เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 10 ปี เนื่องจากเด็กยังไม่มีภูมิต้านทานของเชื้อนี้ โดยเฉพาะเด็กที่ไปโรงเรียนอนุบาล ที่มักเล่นของเล่นร่วมกัน ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายค่ะ

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/haibaron-3003429/

ติดต่อได้อย่างไร
โรคนี้มักจะระบาดในอากาศชื้นหรือฤดูฝน และติดต่อจากการสัมผัสแล้วนำมือเข้าปาก จึงทำให้ติดต่อเชื้อได้
1.สัมผัสน้ำมูก
2.สัมผัสน้ำลาย
3.อุจจาระของคนที่ติดเชื้อ
เมื่อติดเชื้อแล้วจะมีอาการหลังได้รับเชื้อประมาณ 3 – 14 วัน ซึ่งผู้ป่วยที่ติดเชื้อจะสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่วันแรกที่ติดเชื้อไปจนกว่าจะหายจากโรคนั่นเองค่ะ

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/guvo59-9285194/

สังเกตอาการ
หลังจากติดเชื้อประมาณ 2 วัน ผู้ป่วยอาจมีตุ่มแดง หรือแผลเปื่อยขอบสีแดงบริเวณเพดานปากและลำคอ แต่อาจหายได้เองใน 7 วัน ทั้งนี้ บางรายอาจมีอาการแตกต่างกันไป เช่น

  • มีไข้สูงกว่า 38.5-40 องศาเซลเซียส
  • เจ็บคอขณะกลืนอาหาร
  • ปวดหัว ปวดคอ
  • ต่อมน้ำเหลืองในคอบวมโต
  • น้ำลายไหลยืด (เด็กทารก)
  • อาเจียน (เด็กทารก)
  • ปวดท้อง
  • เบื่ออาหาร
WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/voltamax-60363/

อาการแบบไหนที่ต้องรีบไปพบแพทย์
1.เจ็บคอ หรือมีแผลในปากนานเกิน 5 วัน
2.มีไข้สูงเกิน 41 องศาเซลเซียส และไม่ลดลง
3.มีอาการภาวะขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง อ่อนเพลีย ตาลึกโบ๋ ปัสสาวะน้อยลงและมีสีเข้ม เป็นต้น
4.มีอาการป่วยอื่นๆ เพิ่มเข้ามา

การรักษา
เป็นโรคที่ต้องรักษาตามอาการ ขึ้นอยู่กับอายุ อาการผู้ป่วย การทนต่อยา ซึ่งแพทย์มักจะแนะนำวิธีการรักษาดังนี้
รักษาด้วยยา : กินยาพาราเซตามอลหรือยาไอบูโพรเฟน เพื่อลดอาการปวดไข้ แต่ห้ามใช้ยาแอสไพรินรักษาในเด็กและวัยรุ่น นอกจากนี้ แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อลดอาการปวดสำหรับช่องปากและลำคอ เช่น ยาลิโดเคน
การบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม : ดื่มน้ำมาก ๆ โดยเฉพาะนมเย็น น้ำเย็น หรือกินไอศกรีม เพื่อเพิ่มปริมาณของเหลวในร่างกาย ทดแทนของเหลวที่เสียไปจากการมีไข้ ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคเครื่องดื่มร้อน และผลไม้ตระกูลส้ม เพราะอาจทำให้เจ็บแผลในปากและคอมากขึ้น

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/soumen82hazra-16209681/

การป้องกัน
วิธีที่ดีทีสุดก็คือการรักษาความสะอาดของตัวเองนะคะ เช่น การล้างมือให้สะอาด ด้วยน้ำสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ และต้องระมัดระวังการสัมผัส น้ำลาย น้ำมูก ข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นส่วนรวม หากเด็กๆ มีอาการป่วยควรงดไปโรงเรียน 7 วันค่ะ

เพราะสุขภาพของลูกน้อยเป็นเรื่องที่สำคัญมาก หากลูกของคุณเกิดอาการผิดปกติทางด้านร่างกาย หรือมีอาการที่เสี่ยงจะเป็นโรคเฮอร์แปงไจน่าตามที่ DooDiDo ได้นำเสนอมาข้างต้นนี้ ให้รีบพาลูกน้อยไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรค และรักษาให้ตรงจุดด้วยนะคะ ทางที่ดีคุณพ่อคุณแม่ควรป้องกันไว้ก่อนโดยการให้ลูกรักษาความสะอาดและล้างมือบ่อยๆ นะคะ

ขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.parentsone.com, www.rama.mahidol.ac.th