“โรคกินไม่หยุด” จะมีอาการทานอาหารไม่หยุดแม้จะไม่รู้สึกหิว

WM

มารู้จักกับ “โรคกินไม่หยุด” (Binge Eating Disorder)

ปัจจุบันโลกของเรามีปัญหาเยอะมากมาย ทั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดอย่างหนัก จนถึงปีนี้ 2023 การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสนี้ก็ดูมีมีท่าทีที่เบาลงแถมยังดูเหมือนจะยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะมีวัดซีนให้เราได้เลือกฉีดตามความพึ่งพอใจของแต่ละคน  แต่ตอนนี้เชื้อไรวัสดังกล่าวได้กลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าในอนาคตจะเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไรวัสชนิดนี้ไปได้รุนแรงถึงในระดับไหน และการแพร่ระบาดไวรัสครังนี้ส่งผลทำให้เราต้องทำงานอยู่บ้าน แบบ WFH ทำให้คนในชีวิตอยู่กับที่พักอาศัยทุกวันด้วยการที่ออกไปไหนไม่ได้ เราจำเป็นต้องใช้ชีวิตทั้งกินนอนในที่พัก เราอยู่บ้านกินได้ตามใจปากทั้งอาหาร ขนม ของทานเล่นได้ทั่งวัน ซึ่งทำให้ไม่สามารถควบคุมการกินของตัวเองได้ กลายเป็นคนที่ต้องกินตลอดเวลา กระทั่งถูกทักเรื่องน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ต้องทำทีบอกคนอื่นว่ากำลังลดน้ำหนัก แต่พอไม่มีใครเห็นจะกลับไปกินเยอะมาก สุดท้ายสะสมความรู้สึกผิดจนเกิดภาวะความเศร้า และตรวจพบไขมันชนิดไม่ดีในเส้นเลือด รวมถึงมีไขมันพอกับ วันนี้เราจะพาทุกคน มารู้จักกับ โรคกินไม่หยุด (Binge Eating Disorder)

โรคกินไม่หยุด (Binge Eating Disorder) ผู้ป่วยจะควบคุมพฤติกรรมการทานอาหารของตนเองไม่ได้ ทำให้ทานเยอะทานมากกว่าปกติ และรู้สึกไม่ดีหลังทานอาหารไปแล้ว โรคนี้สามารถรักษาได้หลายวิธีทั้งการทานยา การเข้าพบจิตแพทย์เมื่อรักษาหายแล้วควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร และควบคุมน้ำหนักมากยิ่งขึ้น

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@jarritos

โรคกินไม่หยุดคืออะไร

โรคกินไม่หยุดเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัยแต่จะพบได้มากในเพศหญิงช่วงอายุ 20 ปีขึ้นไป สาเหตุที่แน่ชัดที่ทำให้เกิดโรคยังไม่ชัดเจนอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีอาการทานอาหารไม่หยุดแม้จะไม่รู้สึกหิว และจะหยุดก็ต่อเมื่อไม่สามารถทานต่อได้แล้วโดยจะส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยตรง

โรคกินไม่หยุดเกิดจากอะไร

ถึงแม้จะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ยังพบว่ามีปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระตุ้นการเกิดโรคกินไม่หยุดนี้ได้ เช่น

ปัจจัยความเสี่ยงด้านจิตใจ : เกิดเหตุการณ์ที่กระทบความรู้สึกเคยถูกทำร้าย การสูญเสียบุคคลรอบตัว ไปจนถึงความผิดหวังจากการลดน้ำหนัก และไม่มีความมั่นใจวิตกกังวลในรูปร่างของตนเอง

ปัจจัยความเสี่ยงจากโรค : พบได้ในผู้ที่เป็นโรคอ้วน หรือคนในครอบครัวเคยเป็นโรคกินไม่หยุด และจากโรคทางจิตเวช เช่น โรคไบโพลาร์ โรคเครียด โรคซึมเศร้า เป็นต้น

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@outcast_india

อาการของโรคกินไม่หยุด

อาการที่สังเกตได้ของโรคกินไม่หยุดคือพฤติกรรมการกินอาหาร และลักษณะทางอารมณ์ที่แตกต่างไปจากเดิม ได้แก่

พฤติกรรมการทานอาหาร : ผู้ป่วยจะกินอาหารในปริมาณมากแม้ไม่รู้สึกหิว โดยจะทานจนกว่าจะทานต่อเองไม่ไหว หลังจากทานไปแล้วจะรู้สึกผิด บางรายอาจจะมีพฤติกรรมสะสมของกินไว้ใกล้ตัว

พฤติกรรมทางด้านอารมณ์ : ผู้ป่วยโรคกินไม่หยุดจะอยากกินอาหารคนเดียว เพราะรู้สึกอายหากต้องกินอาหารกับผู้อื่นในปริมาณมาก

เป็นคนชอบกินเสี่ยงโรคกินไม่หยุดใช่ไหม

บางคนเมื่ออ่านอาการของโรคกินไม่หยุดอาจคิดว่าตนเองอาจเป็นโรคนี้ได้ โดยอาการดังกล่าวอาจเกิดขึ้นกับบางคนแต่สำหรับคนที่ถูกวินิจฉัยว่าอาจเป็นโรคนี้ต้องมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายข้างต้นอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์ และต้องเป็นติดต่อกัน 3 เดือนขึ้นไป

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@gabinvallet

โรคกินไม่หยุดแก้ยังไง

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม : ออกกำลังกาย ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ และไม่ปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในสภาวะความเครียด

การใช้ยา : เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมีจุดประสงค์เพื่อจัดการสมดุลภายในสมอง และลดโอกาสเกิดอาการของโรคกินไม่หยุด แต่ด้วยผลข้างเคียงจากการใช้ยาจึงต้องทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

การทำจิตบำบัด : มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้ป่วยเรียนรู้สาเหตุ และอาการของโรคเพื่อรับมืออาการและสามารถจัดการกับความคิดด้านลบต่อร่างกายของตนเองได้

โรคกินไม่หยุดต้องใช้ความอดทนและความมีวินัยในการรักษา การได้รับกำลังใจและความเข้าใจจากคนรอบข้างจึงเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่จะทำให้การรักษาประสบผลสำเร็จ

เป็นอย่างไรกันบ้างกัน ความรู้ที่เรา DooDiDo นำมาฝากกับ โรคกินไม่หยุด (Binge Eating Disorder) ซึ่งในปัจจุบันยังไม่ทราบเหตุที่แน่ชัดของโรคนี้ แต่คาดว่าอาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย โดยโรคนี้สามารถเกิดได้กับคนทุกช่วงวัย ซึ่งช่วงอายุที่พบได้บ่อยที่สุด คือ ช่วงวัยรุ่นตอนปลายหรือช่วงอายุ 20 ตอนต้น รับประทานอาหารในปริมาณมากกว่าปกติ และไม่สามารถควบคุมตนเองให้หยุดกินไม่ได้ แม้จะอิ่มแล้วหรือไม่รู้สึกหิวก็ตาม ลองสังเกตดูพฤติกรรมาการกินของคุณดูว่ามีอาหารเหมือนที่เราได้นำข้อมูลดังกล่าวมาให้หรือเปล่า หากมีอาการภาวะดังกล่าวให้ เราแนะนำให้รีบไปพาแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่กับการรรักษาต่อไปนะค่ะ

ขอบคุณแหล่งที่มา: www.petcharavejhospital.com