เผยเคล็ดลับและตัวช่วยในการบรรเทาความดันให้กลับมาสมดุล!!
บรรเทาความดันโลหิตสูง ด้วยสารอาหารสำคัญ
หากวันนี้จะพูดถึงภัยเงียบใกล้ตัวเราที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทุกๆ ท่าน เชื่อว่าจะต้องมี “ความดันโลหิตสูง” เป็นหนึ่งโรคที่ติดอยู่ในลำดับต้นๆ ของโรคภัยอย่างแน่นอน โดยที่จากการเปิดเผยข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าในกลุ่มประชากร อายุ 30-79 ปี มีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงเกือบ 1.3 พันล้านคน และในขณะเดียวกันจากสถิติของกระทรวงสาธารณสุขไทยก็ได้พบว่า คนไทยมีความดันโลหิตสูงมากถึง 13 ล้านคน และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งโรคความดันโลหิตสูง หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและโรคร้ายอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ในอนาคต
เพราะความดันโลหิตสูงอยู่ใกล้ตัวและอันตรายกว่าที่คิด ครั้งนี้เราจึงอยากพาทุกคนมาทำความรู้จักกับโรคความดันโลหิตสูงให้ดีมากยิ่งขึ้น พร้อมเผยเคล็ดลับ และตัวช่วยในการบรรเทาความดันให้กลับมาสมดุลได้อีกครั้งหนึ่ง
โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) คืออะไร ?
โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) คือ ภาวะที่ความดันภายในหลอดเลือดแดงสูงกว่าระดับปกติ โดยทั่วไปแล้วผู้ที่มีความดันเลือดปกติจะวัดค่าความดันได้ 120/80 มิลลิเมตรปรอท แต่ผู้ที่มีความดันเลือดสูงจะวัดค่าความดันได้ตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ซึ่งถือว่าเป็นภาวะที่ต้องได้รับการควบคุมอย่างเร่งด่วน เพราะหากปล่อยให้ความดันโลหิตสูงต่อเนื่อง โดยไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลต่ออวัยวะต่าง ๆ ดังนี้
หัวใจ : การที่เส้นเลือดตีบจากภาวะความดันโลหิตสูงจะทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ยากยิ่งขึ้น ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักมากขึ้น และเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว
หลอดเลือดสมอง : โรคความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุหลักโดยตรงของโรคหลอดเลือดสมอง เพราะโรคนี้ทำให้เส้นเลือดในสมองอุดตันหรือแตกง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งหากไม่เสียชีวิตก็จะทำให้สภาพร่างกายไม่ปกติ มีผลต่อการสื่อสาร ความจำ และการมองเห็น
ไต : หากเส้นเลือดบริเวณไตถูกทำลายจะทำให้ประสิทธิภาพในการกรองของเสียของไตลดลง เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงไตและนำไปสู่ภาวะไตวายได้ในที่สุด
ดวงตา : ในระยะยาวโรคความดันโลหิตสูงจะทำให้เส้นเลือดในดวงตาถูกทำลายส่งผลให้เกิดอาการตามัว มองเห็นภาพไม่ชัด จนถึงตาบอดได้เลยทีเดียว
และจากที่กล่าวไปในตอนต้นว่า ความดันโลหิตสูงคือภัยเงียบที่อันตราย เนื่องจากภาวะความดันโลหิตสูงมักไม่มีสัญญาณหรืออาการใด ๆ แม้ว่าค่าความดันโลหิตจะอยู่ในระดับที่สูงเกินปกติก็ตาม โดยกว่าครึ่งของผู้ป่วยที่ทราบว่ามีภาวะความดันโลหิตสูงมักจะบังเอิญตรวจเจอในขณะที่ไปตรวจสุขภาพหรือต้องตรวจระดับความดันโลหิตก่อนเข้าการรักษาโรคอื่น ๆ แต่สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงมาก ๆ ร่างกายจะส่งสัญญาณผ่านทางอาการเหล่านี้
– ปวดศีรษะตุบๆ บริเวณท้ายทอย
– เวียนศีรษะบ่อย โดยเฉพาะตอนตื่นนอน
– ตาพร่ามัว หน้ามืดบ่อย
– เลือดกำเดาไหล
– มีอาการเหนื่อยง่าย
– ใจสั่น เจ็บแน่นหน้าอก
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ความดันโลหิตสูง (Hypertension)
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความดันโลหิตสูง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ 1. ปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น กรรมพันธุ์ เพศและอายุ 2. ปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ เช่น มีพฤติกรรมชอบทานอาหารเค็มเป็นประจำ น้ำหนักตัวที่เกินเกณฑ์มาตรฐาน ไม่ชอบออกกำลังกาย สูบบุหรี่จัดหรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินพอดี รวมไปถึงสภาพจิตใจและอารมณ์ โดยเฉพาะเมื่อเกิดความเครียด ความตื่นเต้น อารมณ์โกรธมีโอกาสที่ความดันโลหิตจะสูงขึ้น และถ้าเกิดขึ้นเป็นประจำก็จะส่งผลเสียต่อร่างกาย
ความดันโลหิตสูง (Hypertension) ลดลงได้โดยไม่ต้องพึ่งยา
– ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยค่าดัชนีมวลกายปกติคือไม่เกิน 25 กก./ตรม. หรือให้เส้นรอบพุงไม่เกิน 50% ของส่วนสูง
– ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการเลือกออกกำลังกายหลายแบบ ทั้งการออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
– รับประทานอาหารที่มีคุณภาพโดยการลดอาหารเค็ม มัน และเพิ่มผักผลไม้ให้เยอะขึ้น
– เลิกสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
– ควรหมั่นตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำ และตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี เพราะหากตรวจพบโรคได้เร็วก็จะสามารถควบคุมโรคได้ง่าย
นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเบื้องต้นที่ทุกคนควรทำเพื่อลดความดันโลหิตสูงแล้ว ยังมีอีกสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทำควบคู่กันไป คือ การเสริมด้วยสารอาหารสำคัญที่มีส่วนช่วยลดความดันโลหิตสูง ซึ่งมีความปลอดภัยกว่าการใช้ยาและสามารถรับประทานต่อเนื่องได้ในระยะยาว
2 สารอาหารสำคัญ บรรเทาความดันโลหิตสูง
วิตามินอี (Vitamin E) หนึ่งในวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งมีคุณสมบัติสามารถละลายในไขมันได้ดีและมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ อีกทั้งยังเป็นส่วนประกอบหลักของเยื่อหุ้มเซลล์ โดยวิตามินอีมีประโยชน์ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น ป้องกันการแตกของเม็ดเลือด ป้องกันการอุดต้นของเส้นเลือด และป้องกันโรคเรื้อรัง
โคเอ็นไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10)
โคเอ็นไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10) หรือที่รู้จักกันในชื่อคิวเทน (Q10) เป็นสารอาหารที่พบได้ตามอวัยวะที่ใช้พลังงานมากเป็นพิเศษอย่างหัวใจ สมอง ตับและไต แต่เมื่ออายุมากขึ้นคิวเทน จะลดลงเรื่อยๆ เราจึงต้องเติมสารอาหารนี้ให้เพียงพอในแต่ละวัน อีกทั้งยังมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการสร้างพลังงานพื้นฐานของเซลล์ เพื่อให้อวัยวะต่างๆ ทำงานได้ตามปกติและยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ อีกทั้งในปัจจุบันทางการแพทย์ได้ให้สารอาหารชนิดนี้กับผู้ที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูง
โดยมีการวิจัยทางการแพทย์พบว่า “โคเอ็นไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10) สามารถลดความดันโลหิตได้จริง โดยสามารถลดค่าความดันโลหิตตัวบนได้ 17 มิลลิเมตรปรอท และลดค่าความดันตัวล่างได้ 10 มิลลิเมตรปรอท ที่สำคัญ คือ ไม่มีผลข้างเคียงต่อร่างกาย
แม้ว่าความดันโลหิตของคุณจะอยู่ในระดับปกติ แต่หากยังมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้องก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้เช่นกัน ดังนั้น DooDiDo แนะนำว่าควรที่จะปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตเพื่อป้องกันการเกิดโรค และถือเป็นสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกวัน
ขอบคุณแหล่งที่มา: www.megawecare.co.th