5 วิธี ตัวช่วยให้คุณแม่รับมือกับ “ภาวะแพ้อาหารผ่านนมแม่”
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/stocksnap-894430/
“ภาวะแพ้อาหารผ่านนมแม่” เป็นการแพ้อาหารบางอย่างที่แม่รับประทานเข้าไป
เมื่อลูกน้อยมีผดผื่น หรือมีอาการแพ้ เป็นปัญหาหนักอกหนักใจสำหรับคุณแม่หลายคนอย่างมากใช่ไหมคะ เพราะนอกจากจะต้องคอยหาสาเหตุแล้ว ยังต้องคอยดูอีกว่าลูกจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตหรือไม่อีกด้วย ซึ่งการขึ้นผื่นของทารกมีด้วยกันหลายสาเหตุ บางสาเหตุก็สามารถหายได้เองเมื่อทารกมีอายุประมาณ 2- 3 สัปดาห์ขึ้นไป แต่บางสาเหตุอาจไม่สามารถหายเองได้ ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขหรือวินิจฉัยให้ถูกโรค อย่าง “ภาวะแพ้อาหารผ่านนมแม่”
ภาวะแพ้อาหารผ่านนมแม่ เกิดจากสาเหตุใด? โดยธรรมชาติแล้ว “นมแม่” เป็นสารอาหารที่ปลอดภัยกับลูกร้อยเปอร์เซ็น ทารกในวัยแรกเกิดมีความเป็นได้น้อยมากที่จะแพ้นมแม่ แต่ปฏิกิริยาต่อต้านนมแม่ที่ลูกแสดงออก เช่น หน้าขึ้นผื่นแดง เกาศีรษะจนเป็นหนอง ลูกร้องไห้งอแงผิดปกติ กินนมได้น้อย น้ำหนักตัวไม่เพิ่ม ฯ สาเหตุเหล่านี้ อาจเกิดจาก “ภาวะแพ้อาหารผ่านนมแม่” ซึ่งไม่ได้เป็นที่นมแม่ แต่เป็นที่อาหารบางอย่างที่แม่รับประทานเข้าไป
ระยะเวลาอาการแพ้ของเด็ก
การแพ้จะแบ่งด้วยกัน 2 แบบ คือ แบบเฉียบพลัน หรือแบบค่อยเกิด ซึ่งระยะเวลาขึ้นอยู่กับระบบการย่อยอาหารและการดูดซึม จะใช้เวลาที่ไม่เท่ากัน แล้วแต่เด็กแต่ละคนว่าระบบย่อยทำงานในรูปแบบไหน
ลักษณะอาการการแพ้อาหารผ่านนมแม่
การแพ้อาหารเป็นปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันหลังการรับประทารอาหารผ่านทางน้ำนม จะออกอาการตอบสนองออกมาผ่านทางผิวหนังออกเช่น เกิดผื่นแดงทั่วตัว ลมพิษขึ้น หรือออกทางระบบทางเดินหายใจ ทำให้หายใจติดขัด แน่นออก หอบหืด หรือทางระบบเดินอาหาร เช่นถ่ายเป็นเลือด ทองเสีย มีมูกเลือด หรือระบบหลอดเลือดและหัวใจ เช่นทำให้ความดันต่ำสามารถออกอาการโดยระบบร่างกายเพียงระบบเดียว หรือหลายระบบได้
วิธีการดูว่าลูกแพ้อาหารผ่านทางนมแม่
วิธีการสังเกตุว่าลูกแพ้อาหารจากการกินนมหรือ จะสังเกตุไม่ยาก แต่ก็ต้องคอยหมั่นสังเกตุประจำ เพียงแค่เมื่อลูกของคุณกินนม แล้วหลังจากกินนมแล้ว อาการของลูกผิดปกติหรือไม่ แล้วเป็นซ้ำๆ หรือไม่ ถ้าเกิดอาการผิดปกติ แล้วซ้ำบ่อยครั้ง ให้รีบนำลูกไปปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย ซักประวัดิ และรักษา
ซึ่งหากหมอมีข้อสงสัย หมอก็ทำการทดสอบ โดยการทดสอบทางผิวหนัง หรือไม่ก็จะตรวจเลือด หรือไม่ก็จะลองให้ลูกงดอาหารที่สงสัยว่าลูกแพ้ ประมาณ 2-4 สัปดาห์ เมือครบการทดสอบก็จะนัดมาวินิจฉัยว่าแพ้อาหารดังกล่าวหรือไม่ ทั้งนี้ การที่หมอจะเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง คุณหมอก็จะถามความสมัครใจจากพ่อแม่ว่าให้ใช้วิธีไหนในการตรวจสอบลูกเรื่องการแพ้อาหาร
วิธีการรักษาอาการแพ้อาหารลูกที่ผ่านการกินนมแม่
เมื่อคุณแม่ทราบแล้วว่าลูกแพ้อาหารประเภทใดแล้ว คุณแม่ต้องงดอาหารประเภทนั้นอย่างเคร่งครัดจนกว่าลูกจะเลิกกินนมแม่ และเมื่อลูกเติบโตกินอาหารอื่น ก็ต้องให้ลูกงดการกินอาหารประเภทนั้นด้วย และหมั่นให้ลูกไปตรวจร่างกายเป็นประจำ
5 วิธีรับมือกับ “ภาวะแพ้อาหารผ่านนมแม่”
ดังนั้น คุณแม่ที่ให้ลูกทานแต่นมแม่ตลอด แล้วลูกก็มีลักษณะคล้ายแพ้อาการ ลองสังเกตอาการและทำตามคำแนะนำเหล่านี้
1. สิ่งแรกที่ต้องทำ
คือ หาให้เจอว่าลูกแพ้อะไร โดยสังเกตจากสิ่งที่แม่รับประทานเข้าไป และเป็นสิ่งที่หลายคนมักเกิดอาการแพ้ เช่น ไข่ นมวัว อาหารทะเล เป็นต้น
2. จดทุกอย่างที่กินเข้าไปในแต่ละวัน
แล้วบันทึกด้วยว่าลูกมีอาการอย่างไรบ้าง สมุดจดบันทึกสิ่งที่กินนั้นมีประโยชน์มากในการค้นหาตัวการที่ทำให้ลูกแพ้ เพราะลูกอาจแพ้อาหารหลายอย่างก็ได้
3. งดอาหารที่เสี่ยงต่ออาการแพ้ทั้งหมด
เช่น นมวัว ไข่ ถั่ว อาหารทะเล งดไปเลยสัก 2-3 อาทิตย์ แล้วค่อย ๆ กลับมารับประทานใหม่ทีละอย่าง ทีละนิด การทานอาหารด้วยวิธีตัดออกอาจต้องใช้เวลาเยอะและยุ่งยาก แต่วิธีนี้จะฟันธงว่าลูกแพ้อาหารชนิดใดบ้าง
4. สังเกตอาการของลูกอย่างต่อเนื่อง
สังเกตุว่าลูกน้อยไม่สบายตัวหลังทานนมแม่ ให้ย้อนกลับไปดูว่าก่อนหน้านั้นคุณได้รับประทานอะไรเข้าไปบ้าง และพยายามงดอาหารที่ลูกแพ้อย่างเต็มที่ อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน ถึง 1 ปีหรือนานกว่านี้ แต่อาการแพ้อาหารสามารถหายได้เอง เมื่อโตขึ้น
5. ปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
สำหรับคุณแม่ที่สงสัยว่าลูกแพ้อาหาร ควรปรึกษาคุณหมอเด็กผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้ เพื่อคุณหมอจะแนะนำการทำ skin test ทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง หรือเจาะเลือดตรวจ ตามที่เหมาะสมกับเด็ก จะเป็นวิธีหาสาเหตุของอาการแพ้อาหารได้ตรงจุดที่สุด
นมแม่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อย ดังนั้นคุณแม่ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีโภชนการที่ดี เพื่อที่จะส่งต่อสารอาหารที่ดีไปยังลูกน้อย ระวังอย่ารับประทานอาหารที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ต่อลูกน้อยได้นะคะ DooDiDo แนะนำให้คุณแม่คอยสังเกตอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับทารกน้อยกันด้วยนะคะ หากมีผื่นขึ้นตามตัว หรือมีอาการผิดปกติให้รีบพาลูกไปพบแพทย์โยด่วนเลยนะคะ
ขอบคุณแหล่งที่มา : www.thaichildcare.com, https://happymom.in.th
