10 สัญญาณที่บอกว่าคุณแม่ท้องลูกชาย มีอาการอย่างไร ต้องดู!!
พ่อแม่จะสามารถทราบเพศของลูกน้อยได้เร็วที่สุดเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 16 สัปดาห์
ในอดีตวิวัฒนาการทางการแพทย์ยังไม่ดีเท่าปัจจุบัน การจะรู้เพศของลูกน้อยในครรภ์ของคุณแม่ก็มักใช้เวลายาวนานหลายเดือนเลยค่ะ หรือกว่าจะรู้เพศอีกทีก็ต้องรอคลอดออกมาเท่านั้น คนโบราณจึงทายเพศเด็กในครรภ์ของคุณแม่ได้จากวิธีการต่าง ๆ ตามความเชื่อที่สืบต่อกันมานั่นเอง สำหรับคุรแม่ที่อยากได้ลุกชายและลุ้นว่าลุกจะได้เพศชายตามที่หวังหรือไม่ ลองมาสังเกตอาการสัญญาณท้องลูกชาย ตามแบบฉบับคนโบราณกันค่ะ
ในปัจจุบันคุณพ่อคุณแม่จะสามารถทราบเพศของลูกน้อยได้เร็วที่สุดเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 16 สัปดาห์ หรือ 4 เดือนขึ้นไป ซึ่งวิธีที่นิยมใช้กันก็คือการตรวจอัลตร้าซาวด์ โดยจะอาศัยจังหวะที่ทารกพลิกตัว ไขว้ขา หรือการหันหลังแล้วสังเกตดูอวัยวะเพื่อบอกเพศนั่นเองค่ะ แต่จะว่าไปในสมัยโบราณที่ยังไม่มีการอัลตร้าซาวด์ จะมีวิธีการดู หรือ สัญญาณท้องลูกชาย มีอาการอย่างไรบ้าง ที่บ่งบอกว่าคุณแม้ท้องลูกชายแน่ ๆ ไปดูกันค่ะ
1.อาการแพ้ท้อง
สำหรับคุณแม่ที่แพ้ท้องลูกชาย ว่ากันว่าสัญญาณท้องลูกชายจะมีอาการแพ้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นค่ะ ต่างจากท้องลูกสาวที่คุณแม่มักจะมีอาการแพ้ที่รุนแรงกว่า โดยอาการที่ว่านี้มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ด้วยว่า เป็นเพราะฮอร์โมนที่ผลิตออกมาในร่างกายแตกต่างกันระหว่างที่คุณแม่ตั้งครรภ์ทารกเพศชายและเพศหญิงนั่นเอง
2.ลักษณะท้อง
สัญญาณท้องลูกชายจะมีลักษณะของท้องที่แหลม ท้องอยู่ในระดับต่ำ ห้อยยื่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด โบราณทำนายว่าคุณแม่อาจได้ลูกชายค่ะ เวลาลูกดิ้นก็จะมีอาการเจ็บบริเวณกระเพาะปัสสาวะบ่อย ๆ ในขณะที่ถ้าคุณแม่ท้องลูกสาว ว่ากันว่าจะมีท้องทรงกลมป้าน เวลาลูกดิ้นมีอาการเจ็บบริเวณซี่โครง
3.ผิวพรรณ
ผิวพรรณของคุณแม่ที่ท้องลูกชาย ว่ากันว่าคุณแม่มักมีผิวพรรณที่เปล่งปลั่ง สดใส ดูมีน้ำมีนวลเป็นพิเศษค่ะ นอกจากนี้ยังจะสังเกตสัญญาณท้องลูกชายได้จากผมที่จะดกดำ สลวย ทั้งผมและเล็บยาวเร็วอีกด้วย
4.สีของปัสสาวะ
สีของปัสสาวะก็เป็นอีกข้อสังเกตที่อาจทำนายเพศของลูกน้อยได้ค่ะ โดยปัสสาวะของคุณแม่ถ้ามีสีเหลืองใสอาจบ่งบอกได้ว่าคุณแม่ตั้งคครภ์ทารกเพศชาย ในขณะที่ถ้าคุณแม่ตั้งครรภ์ทารกเพศหญิงสีของปัสสาวะจะออกเหลืองขุ่น ๆ ค่ะ อย่างไรก็ตามสีของปัสสาวะจะมีปัจจัยเกี่ยวกับอาหารการกินมาเป็นปัจจัยทำให้ทำเกิดความคลาดเคลื่อนได้ ทำให้การันตรี สัญญาณท้องลูกชาย ได้อย่างแม่นยำนั่นเอง
5.ความอยากอาหาร
คุณแม่ที่ท้องลูกชาย ว่ากันว่าจะมีความอยากรับประทานอาหารรสเค็มมากเป็นพิเศษ ในทางกลับกันหากท้องลูกสาวคุณแม่มักมีความอยากอาหารรสหวานค่ะ แต่หลักการนี้ยังไม่ได้มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นก็อาจเป็นเพียงความเชื่อว่าเป็นสัญญาณท้องลูกชายเท่านั้นนะคะ
6.การดิ้นของลูก
ลักษณะการดิ้นของลูกอาจบ่งบอกเพศทารกในครรภ์ได้ ว่ากันว่าทารกเพศชายจะดิ้นเร็วกว่าทารกเพศหญิง คือโดยปกติคุณแม่จะรู้สึกถึงการดิ้นของลูกได้ตอนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ ถ้าลูกดิ้นก่อน 20 สัปดาห์ อาจเป็นสัญญาณท้องลูกชายค่ะ
นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่าลูกชายจะดิ้นแรง ชอบเตะ และเคลื่อนไหวมากกว่าลูกสาวด้วย ซึ่งมีข้อสนุบสนุนทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า โครโมโซม XY ของทารกเพศชาย มีความคงที่น้อยกว่าโครโมโซม XX ของทางรกเพศหญิงนั่นเอง
7.สะดือ
หากคุณแม่ลองสังเกตลักษณะของสะดือตัวเอง แล้วพบว่าสะดือด้านล่างมีลักษณะยื่นออกมา หรือที่เรียกว่า “สะดือหงาย” คนโบราณก็จะบอกว่าการที่คุณแม่ท้องแหลม สะดือหงายนั้นเป็นสัญญาณท้องลูกชาย ให้ทายว่าได้ลูกชายแน่นอน 100%
8.ความอยากอาหาร
สังเกตได้ว่าถ้าคุณแม่ทานเก่งขึ้น มีความอยากอาหารมาก ๆ หิวบ่อย ให้ถือว่าเป็นสัญญาณท้องลูกชาย ซึ่งมีผลงานวิจัยเกี่ยวกับข้อสมมุติฐานนี้ว่า คุณแม่ที่ตั้งท้องลูกชายต้องการพลังงานมากกว่าคุณแม่ที่ตั้งท้องลูกสาวนั่นเอง
9.หน้าอก
ว่ากันว่าคุณแม่ที่ตั้งท้องลูกชาย ขนาดของหน้าอกจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากเท่าการตั้งท้องลูกสาวค่ะ เพราะเวลาคุณแม่ตั้งท้องทารกเพศชาย ร่างกายจะมีระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชาย ทำให้ไปควบคุมฮอร์โมนของคุณแม่เอาไว้ จึงทำให้ขนาดหน้าอกไม่ขยายออกมาเต็มที่ ทำให้คุณแม่ที่อุ้มท้องลูกชาย มีขนาดหน้าอกเล็กกว่าคุณแม่ที่อุ้มท้องลูกสาวค่ะ
10.เท้าเย็น
อีกหนึ่งข้อสังเกตที่มีการศึกษาพบว่า สตรีที่ตั้งครรภ์ทารกเพศชายมักพบว่ามีอาการเท้าเย็น นั่นก็เพราะระบบไหลเวียนโลหิตของคุณแม่เมื่อตั้งท้องลูกชาย ไหลเวียนได้ไม่ดี เมื่อเปรียบเทีบกับการตั้งท้องลูกสาวค่ะ
ทั้ง 10 สัญญาณที่ DooDiDo นำมาฝากคุณแม่ตั้งครรภ์ในวันนี้ เป็นอาการที่บ่งบอกว่าคุณแม่กำลังตั้งครรภ์ลูกชายอยู่นั่นเองค่ะ ซึ่งสัญญาณท้องลูกชายเป็นสิ่งที่คนโบราณเชื่อและสืบต่อความเชื่อมาจนถึงปัจจุบันค่ะ และมีหลาย ๆ คนก็การันตีว่าแม่นยำจริง คุณพ่อคุณแม่ป้ายแดงสามารถนำกลับไปทายเพศลูกกันเล่น ๆ ก่อนทราบผลอัลตร้าซาวด์ได้นะคะ
ขอบคุณแหล่งที่มา : https://kidminute.com