ไขข้อสงสัย Botox และ Filler มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง??

WM

มาดู!! ความต่างระหว่าง ฟิลเลอร์กับโบท็อกซ์กันค่ะ

การเสริมความงามไม่ได้มีแค่การผ่าตัดศัลยกรรมแต่เพียงอย่างเดียวนะคะ วิธีการสร้างเสริมเสน่ห์ให้กับใบหน้าเพื่อเรียกความมั่นใจให้กับสาวๆ อย่างเราค่ะ หากเราจะพูดถึงการศัลยกรรม หรือการกระชับผิวหน้าผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะนึกถึง การฉีด Botox หรือ Filler เป็นอันดับต้นๆ เพราะ 2 วิธีนี้ถือได้ว่ายอดนิยมมาก ทำให้ผู้หญิงหลายคนริ้วรอยบนใบหน้าหายไป และผิวหน้าก็ตึงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะฉะนั้นเรามาทำความรู้จักกับ Botox และ Filler กันค่ะ ว่าทั้งสองสารที่นำมาเติมบนใบหน้าของคุณสาวๆ ทั้งหลายนั้นมีความต่างกันอย่างไร ตามมาดูกันเลยจ้า

สารโบท็อกซ์ หรือชื่อเต็มทางการเเพทย์คือ สารโบทูลินั่ม ท็อกซิน จัดเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์สำคัญในการทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ซึ่งกลไกการทำงานของสารนี้จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ได้รับยาขยับน้อยลงเเละคลายตัวออก ดังนั้นรอยย่นที่เกิดจากการขยับกล้ามเนื้อ เช่น  รอยย่นหน้าผาก  รอยตีนกา รอยขมวดคิ้ว รอยที่หางตาจะค่อยๆ หายไป สารตัวนี้ออกฤทธิ์โดยตรงที่กล้ามเนื้อส่วนวิธีการที่จะได้รับยาก็คือการฉีดเข้าที่กล้ามเนื้อ หากใช้วิธีการทายาก็จะทำให้สารไม่สามารถซึมลงไปถึงชั้นกล้ามเนื้อได้

WM
ขอบคุณภาพจาก: www.sanook.com

บางคนอาจกังวลว่า จะทำให้เกิดก้อนสะสมขึ้นได้ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดเนื่องจากยาตัวนี้จะซึมเข้าไปในกล้ามเนื้อเเละออกฤทธิ์ ดังนั้นยาจะไม่ไปทำให้เกิดก้อนใต้ผิวเเต่อย่างใดตัวยาจะค่อยๆ สลายไปเองใน 4 เดือนเเละเพื่อให้ได้ผลต่อเนื่อง จึงควรฉีดทุก 4 เดือน นอกจากการใช้โบท็อกซ์เพื่อลดเลือนริ้วรอยได้เเล้ว ยังสามารถใช้ลดขนาดกล้ามเนื้อบริเวณกรามทำให้ใบหน้าเรียวข้นได้อีกด้วย

ส่วนฟิลเลอร์นั้น หรือที่เรียกกว่า สารเติมเต็ม มีข้อบ่งชี้คือใช้ฉีดเข้าใต้ผิวหนังเพื่อเติมหรือเสริมส่วนที่บกพร่อง  จริงๆ เเล้วฟิลเลอร์มีใช้กันมานานหลายสิบปีเเล้ว โดยเริ่มมีวิวัฒนาการมาจากการใช้สารกลุ่มพาราฟิน ซิลิโคน คอลลาเจน เเต่พบว่ามีปัญหาเรื่องการเกิดปฏิกิริยาหลังฉีด เกิดก้อนภายหลัง ซึ่งมักจะเกิดหลังจากฉีดเป็นเดือนหรือเป็นปี จึงได้มีการพัฒนามาเป็นสารที่มีปฏิกิริยาน้อย

WM
ขอบคุณภาพจาก: www.sanook.com

สารฟิลเลอร์ตัวล่าสุดที่นิยมใช้กันก็คือ สารกลุ่มไฮยารูโลนิก แอซิด หรือเอชเอ ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่เเล้วในผิวมนุษย์สารตัวนี้ได้นำมาใช้ประมาณ  10 ปีเเล้ว โดยพบว่าไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาหรือก้อนในภายหลัง สำหรับบริเวณที่นิยมใช้สารฟิลเลอร์ ได้แก่ ร่องแก้ม ร่องบริเวณมุมปากริมฝีปาก บริเวณคาง ขมับ ใต้ตา เป็นต้นข้อดีของฟิลเลอร์ชนิดไฮยาลูโรนิก เเอซิดคือ ไม่เกิดก้อนเเละโอกาสเกิดการเเพ้น้อยมาก เเต่ข้อเสียคือต้องฉีดซ้ำเมื่อเวลาผ่านไปเนื่องจากตัวสารจะค่อยๆ สลายไปเอง ใช้เวลา 6 เดือน ถึง 1 ปี เเล้วเเต่ชนิดของไฮยาลูโรนิก แอซิด

การฉีดสารโบท็อกซ์เเละการฉีดฟิลเลอร์ ไม่ต้องมีการเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษ การรักษาส่วนมากใช้เวลา 5 – 20 นาที ในรายที่กลัวความเจ็บ เเพทย์อาจใช้ยาชาชนิดทาก่อนทาก่อนเริ่มทำการรักษาประมาณครึ่งชั่วโมง ผู้ป่วยส่วนมากจะกลับไปทำงานต่อได้ทันที ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนที่คุณจะทำการรักษาคือต้องคุยกับเเพทย์ถึงความต้องการเเละให้เเพทย์ประเมินความเป็นไปได้ถึงผลที่จะได้รับ เเต่หากมีผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้คือ การมีจ้ำเลือดบริเวณที่ฉีดซึ่งใช้เวลาประมาณ1 สัปดาห์ จึงจะดีขึ้น

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/guvo59-9285194/

รวมถึงการฉีดโบท็อกซ์ อาจเกิดผลข้างเคียงได้ หากยาเกิดการกระจายไปยังกล้ามเนื้อมัดที่ไม่ต้องการ จึงควรงดนวดหน้าภายหลังการฉีด ข้อสำคัญก็คือ ควรเลือกสถานที่ฉีดที่มีความมั่นใจได้ เพื่อป้องกันโบท็อกซ์เเละฟิลเลอร์ปลอม หรือจำพวกที่ไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารเเละยา หรือ อย. ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือควรเตรียมความพร้อมเรื่องค่าใช้จ่ายเป็นสำคัญ สารโบท็อกซ์เเละฟิลเลอร์ในปัจจุบันมีหลายยี่ห้อ ก็ควรเลือกชนิดที่เหมาะสมกับงบประมาณโดยที่ยังได้ทั้งคุณภาพเเละไม่เกิดผลเสียในระยะยาวด้วย

เป็นยังไงกันบ้างค่ะ กับข้อมูลดีๆเรื่องโบท็อกซ์เเละฟิลเลอร์ที่ DooDiDoได้รวบรวมนำมาฝากกันในวันนี้ จำง่ายๆ ว่า “โบท็อกซ์ใช้ลด ฟิลเลอร์ใช้เพิ่ม” ค่ะ ศัลยกรรมเพื่อความงามก็เป็นเพียงอีกหนึ่งทางเลือกดีๆ เเต่อย่างไรเเล้วก็อย่าลืมดูเเลสุขภาพตัวเองให้สวยจากภายในสู่ภายนอกกันด้วย และการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกซ์เเละฟิลเลอร์ก่อนตัดสินใจไปฉีดจึงเป็นเรื่องที่ดีเเละสำคัญมากๆ เลยค่ะ

ขอบคุณแหล่งที่มา : www.you-health.net