ใต้ตาดำ ใต้ตาคล้ำ หนึ่งในปัญหาที่ทำให้ผู้หญิงหมดความมั่นใจ อาจจะเกิดจากการนอนหลับไม่เพียงพอหรือเครียดกับการทำงาน แต่สามารถลดปัญหาใต้ตาดำโดยการดูแลรักษาผิวหนังด้วยการใช้ครีมที่มีส่วนผสมที่ช่วยในการลดการสะสมของเม็ดสีผิวหรือบำรุงรักษาผิวหนังให้ชุ่มชื้นอาจช่วยลดรอยดำใต้ตาได้ หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจะช่วยทำให้ปัญหาใต้ตาดำหมดไป
ใต้ตาดำ เกิดจากอะไร
ใต้ตาดำ เกิดจากหลายสาเหตุอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่เสี่ยงต่อสุขภาพ แต่หากคุณมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวหรือมีอาการผิดปกติเพิ่มขึ้น ควรพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเพื่อการประเมินและการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ซึ่งใต้ตาดำสามารถแบ่งได้เป็นหลายประการดังนี้
- การสร้างเม็ดเม็ดสีผิว (Melanin): การสร้างเม็ดสีผิวในพื้นผิวของผิวหนังสามารถเพิ่มความเข้มของสีผิวและทำให้ใต้ตาดำขึ้นได้ การสะสมของเม็ดสีผิวนี้ใต้ตาสามารถเป็นผลมาจากพันธุกรรมหรือสภาพแวดล้อม เช่น การแสดงต่อแสงแดดมากเกินไปที่ทำให้เม็ดสีผิวเพิ่มขึ้น
- การหลุดไขมันจากกระดูกแก้ม (Orbital Fat Prolapse): ส่วนหนึ่งของไขมันใต้ตาอาจจะหลุดออกมาจากที่เดิมไปที่ผิวหนังใต้ตา ซึ่งทำให้ดูใต้ตาดำ
- ภาวะที่เป็นทางเดินน้ำลายขาดหาย: การขาดน้ำลายหรือทำให้ทางเดินน้ำลายทำงานไม่ดีสามารถทำให้ผิวรอบตาแห้งและใต้ตาดำได้
- การต่อสู้กับการตกขอบตา (Rubbing Eyes): การต่อสู้กับการตกขอบตาอย่างหนักหรือบ่อยๆ อาจทำให้ผิวหนังและเลือดใต้ตาเสื่อมเสียและใต้ตาดำ
- การเสี่ยงต่อแสงแดด: การไม่ปกป้องตนจากรังแดดทำให้ผิวของท่านเสียความชุ่มชื้นและสามารถทำให้รู้สึกร้อนบริเวณรอบตา
ลักษณะของใต้ตาดำเป็นอย่างไร
ลักษณะของใต้ตาดำที่แตกต่างไปตามสาเหตุที่ทำให้เกิดขึ้น ดังนี้
- เม็ดสีผิว (Hyperpigmentation): เม็ดสีผิวใต้ตามีลักษณะเป็นรอยดำหรือเข้มขึ้นในบริเวณใต้ตาดำ สามารถเกิดจากการสะสมของเม็ดสีผิว Melanin ซึ่งมีไว้เพื่อปกป้องผิวหนังจากแสงแดด
- รอยจากการตกขอบตา (Dark Circles due to Tear Trough): การหลุดไขมันจากกระดูกแก้ม (orbital fat prolapse) สามารถทำให้มีใต้ตาดำ รอยดำนี้อาจปรากฏในรูปแบบของแถบดำตามขอบตา
- ความบางของผิวหนัง (Thin Skin): บางครั้งผิวหนังใต้ตาอาจบางลง ทำให้เส้นเลือดและเลือดใต้ผิวหนังสามารถมองเห็นได้ชัดเจนทำให้ใต้ตาดำ
- การอักเสบและบวม (Inflammation and Swelling): การที่รอบตาอักเสบหรือบวมสามารถทำให้เกิดใต้ตาดำได้ นอกจากนี้การสะสมของน้ำใต้ผิวหนังที่เกิดจากการอักเสบยังสามารถทำให้รอยดำนี้มีลักษณะบวม
- การแสดงอาการของการสึกหรอ (Genetic Predisposition): บางคนอาจมีแบบพันธุกรรมที่ทำให้มีโอกาสในการพัฒนาใต้ตาดำมากขึ้น
วิธีการป้องกันและรักษาใต้ตาดำ
การป้องกันและรักษาใต้ตาดำ แก้ยังไง มีหลายวิธีที่คุณสามารถลองทำเพื่อลดปัญหานี้
การป้องกันใต้ตาดำ
- การนอนหลับ: พยายามให้คุณได้นอนหลับเพียงพอ (ประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน) เพราะการขาดนอนหลับสามารถทำให้ใต้ตาดำดูมีลักษณะเหล่านี้มากขึ้น
- การใช้ให้ช่วยทานระบบหล่อเลี้ยงและน้ำมันใต้ตา: การใช้ครีมหล่อเลี้ยงที่มีส่วนผสมเพื่อช่วยบำรุงและเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวใต้ตา
- การปกป้องตนจากแสงแดด: การใช้แว่นกันแสงแดดหรือครีมกันแดดสามารถป้องกันการทำให้เม็ดสีผิวเพิ่มขึ้น
- การลดการต่อสู้กับตา: หลีกเลี่ยงการต่อสู้กับตาหรือการนวดตาอย่างหนักเพื่อลดการที่เลือดจะไปที่ผิวหนังใต้ตา
การรักษาใต้ตาดำ
- การใช้ครีมที่มีส่วนผสมลดการอักเสบ: ครีมที่มีส่วนผสมอันเป็นประโยชน์ต่อการลดอักเสบอาจช่วยลดการบวมและใต้ตาดำ
- การใช้วิธีการทางการแพทย์: หากใต้ตาดำมีความรุนแรงมาก แพทย์อาจแนะนำการใช้เทคนิคการทางการแพทย์ เช่น เลเซอร์หรือการฉีดสารเติมเต็ม (fillers) เพื่อปรับปรุงสภาพผิวใต้ตาดำ
- การใช้รีทินอย่างมีประสิทธิภาพ: การใช้รีทินอย่างประจำอาจช่วยลดการสะสมของเม็ดสีผิวและทำให้ผิวหนังดูสดใส
- การปรับปรุงสไตล์การดูแล: การอาบน้ำอย่างสม่ำเสมอ การลดการบริโภคกาแฟและน้ำชา การเพิ่มการบริโภคน้ำ และการลดการบริโภคอาหารที่มีคาเฟอีนและอาหารเค็ม
ความแตกต่างของใต้ตาดำกับขอบตาดำ
ความแตกต่างระหว่างใต้ตาดำและขอบตาดำสามารถมีสาเหตุที่หลากหลาย ซึ่งทำให้การรักษาต้องเป็นไปตามสาเหตุและลักษณะของปัญหา การปรึกษากับแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ
- ใต้ตาดำ (Dark Circles under the Eyes):
- ตำแหน่ง: อยู่ในบริเวณใต้ตา
- สาเหตุ: สาเหตุของใต้ตาดำสามารถมีหลายปัจจัย เช่น การสะสมของเม็ดสีผิว (melanin) การหลุดไขมันจากกระดูกแก้ม (orbital fat prolapse) การบวมหรืออักเสบของผิวหนังใต้ตา การบางของผิวหนัง และปัจจัยพันธุกรรม
- ขอบตาดำ (Eyelid Darkness or Periorbital Hyperpigmentation):
- ตำแหน่ง: อยู่บริเวณขอบตาหรือรอบตา
- สาเหตุ: ขอบตาดำมักเกิดจากการสะสมของเม็ดสีผิว (melanin) ในบริเวณขอบตา สาเหตุส่วนใหญ่คล้ายกับใต้ตาดำแต่อาจมีการสะสมของเม็ดสีผิวมากกว่าหรือมีการหลุดไขมันจากกระดูกแก้มที่มากขึ้น
วิธีทำให้ดวงตาสดใสเปล่งประกาย
การทำให้ดวงตาสดใสเปล่งประกายและใต้ตาดำ แก้ยังไงนั้นเกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพทั่วไปของตนเอง การนับถือภูมิคุ้มกันต่อสภาพแวดล้อม และการดูแลผิวหนังรอบดวงตา นอกจากนี้มีบางวิธีที่สามารถช่วยดึงดูดสายตาและทำให้ดวงตาดูสดใสมากขึ้นได้ดังนี้
- นอนหลับเพียงพอ: การนอนหลับเพียงพอมีผลมากต่อการดูแลผิวหนังและดวงตา ควรพยายามให้ได้นอนหลับประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน
- ดื่มน้ำมากมาย: การดื่มน้ำเพียงพอช่วยให้ร่างกายและผิวหนังของคุณชุ่มชื้นมากขึ้น และทำให้ดวงตาดูสดใส
- การใช้ครีมบำรุงผิว: การใช้ครีมบำรุงผิวที่เหมาะกับประเภทผิวของคุณจะช่วยให้ผิวดูอิ่มน้ำและชุ่มชื่น และลดปัญหาใต้ตาดำได้
- การปกป้องตนจากแสงแดด: การใช้แว่นตากันแสงแดดและครีมกันแดดเป็นวิธีที่ดีในการปกป้องผิวหนังรอบดวงตาจากรังแดด
- การใช้ครีมลดริ้วรอย: การใช้ครีมลดริ้วรอยที่มีส่วนผสมที่ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวหนังและลดริ้วรอยจะช่วยทำให้ดวงตาดูสดใสมากขึ้น
- การทาเจลหรือครีมลดบวม: การทาเจลหรือครีมที่มีส่วนผสมลดบวม เช่น สารสกัดจากตะไคร้หรืออโลเวร่า สามารถช่วยลดความบวมและทำให้ดวงตาดูสดใส
- การบำรุงตา: การใช้หยอดตาหรือทำการบำรุงตาที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ดวงตาดูสดใส
- การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและลดความตึงเครียดที่อาจส่งผลกระทบต่อดวงตา
- การใช้เทคนิคการแต่งหน้า: เทคนิคการแต่งหน้าที่เน้นที่ดวงตา เช่น การใช้ครีมรองพื้นหรือโรลอนได้เป็นต้น สามารถช่วยเน้นที่ดวงตาให้ดูสดใส
บทสรุป
การดูแลรักษาดวงตาไม่เพียงแค่ช่วยให้ดวงตาดูสดใสเท่านั้น แต่ยังเป็นการดูแลสุขภาพทั่วไปและลดความเครียดที่ส่งผลต่อหลายด้านของสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ การดูแลตนเองอย่างถูกต้องอาจช่วยลดการเกิดใต้ตาดำและปรับปรุงสภาพผิวในบริเวณนี้ได้ หากคุณมีปัญหาใต้ตาดำและต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม ควรพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาที่เหมาะสม
ขอบคุณภาพประกอบจาก :
- pexels.com
- istockphoto.com
ขอบคุณแหล่งอ้างอิงจาก :
- clearskin.in
- medicalnewstoday.com
- olay.co.uk