มาดู! 5 เสียงที่เป็นภาษาเด็กทารก เสียงร้องแบบไหนหมายถึงอะไร

WM

ภาษาจะสื่อสารออกมาด้วยภาษาสากลผ่านเสียงร้อง ซึ่งมีทั้งหมดอยู่ 5 เสียงด้วยกัน

เด็กทารกไม่สามารถพูดสื่อสารกับพ่อแม่ หรือบอกความต้องการในสิ่งที่พวกเขารู้สึกได้ ทำได้เพียงแค่ร้องไห้เท่านั้น จึงทำให้การสื่อสารกับคุณพ่อคุณแม่นั้นไม่ตรงกับความต้องการ ส่งผลทำให้ลูกน้อยร้องไห้ไม่หยุด และพ่อแม่ก็จะเป็นกังวลใจว่าลูกเป็นอะไร จะทำให้ลูกหยุดร้องไห้ได้อย่างไร วันนี้เราจะพาคุณพ่อคุณแม่มาดู เสียงที่เป็นภาษาเด็กทารก เสียงร้องแบบไหนหมายถึงอะไร มาดูคำตอบกันค่ะ

การส่งเสียงอ้อแอ้หรือการร้องไห้ของทารกนั้นเป็นวิธีการสื่อสารที่คล้ายกับการพูดของผู้ใหญ่เพื่อบอกความต้องการและความรู้สึก เช่น หิว ไม่สบายตัว ง่วงนอน ฯลฯ แล้วคุณพ่อคุณแม่จะรู้ได้อย่างไรว่าเสียงร้องแบบไหนหมายถึงอะไร มีคำตอบค่ะ สำหรับคำตอบในเรื่องนี้ คุณพริสซิลล่า ดันสแตน ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารภาษาเด็กทารกได้ทำการฟังเสียงเด็กทารกตั้งแต่แรกเกิดถึง 3 เดือน ร่วม 1,000 คน จากทั่วโลก และพบว่าทารกทุกชาติ ทุกภาษาจะสื่อสารออกมาด้วยภาษาสากลผ่านเสียงร้อง ซึ่งมีทั้งหมดอยู่ 5 เสียงด้วยกัน คือ

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@liangkevin

1.เนะ = หนูหิว
เมื่อลูกน้อยเปล่งเสียงลักษณะนี้ พวกเขากำลังสื่อว่า “หนูหิว” ค่ะ โดยคุณพ่อคุณแม่จะสังเกตได้ว่ามีลมออกมาทางจมูกของลูกมากกว่าปาก เหมือนเสียงขึ้นจมูกร่วมกับเสียงที่ดูดเพดานปาก การร้องในลักษณะนี้อาจเริ่มจากการร้องเบา ๆ และเพิ่มเสียงดังขึ้นร่วมกับการส่ายหัวไปมาเพื่อหาหัวนมและใช้ลิ้นดุนที่ปากไว้

วิธีตอบสนองเสียง “เนะ”
– หากลูกน้อยยอมเข้าเต้า ให้คุณแม่อุ้มลูกไว้แนบอก และกอดลูกไว้ในขณะให้นม
– อุ้มลูกไว้แนบอก ใช้หมอนนิ่ม ๆ รองตัวลูกไว้ในขณะให้นม ซึ่งจะให้ความรู้สึกสบายทั้งแม่และลูก
– คุณแม่นั่ง อุ้มลูกเข้าเต้าด้านข้างโดยใช้หมอนรองตัวลูกเอาไว้เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ลูกน้อย
– คุณแม่นอนตะแคง เอาหมอนรองใต้ตัวลูกเพื่อดูดนมแม่ได้ถนัด
– ขณะให้นม คุณแม่ควรสบสายตามองลูกน้อยเพื่อเป็นการสร้างสายใยรัก

2.อาว = หนูง่วง
การร้องแบบนี้ดูไม่ยากค่ะ เมื่อลูกน้อยส่งเสียง “อาว” ร่วมกับการอ้าปากเป็นรูปวงรีหรือรูปไข่และหุบปากลงคล้ายการงับอากาศเข้าปากเป็นสัญญาณที่บอกว่า “หนูง่วงแล้วนะ” ซึ่งก็คล้ายกับเวลาผู้ใหญ่หาวเพื่อเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพื่อทำให้ร่างกายตื่นตัวนั่นเองค่ะ

วิธีตอบสนองเสียง “อาว / หาว”
– นั่งอุ้มลูกแนบกับอก โยกตัวช้า ๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ
– ยืนอุ้มลูกแนบกับอก โยกตัวช้า ๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ
– อุ้มกล่อม เดินไปเดินมาสักพัก ลูกน้อยจะหลับได้เร็วขึ้น
– ฮัมเพลงหรือร้องเพลงกล่อมเบา ๆ ให้ลูกน้อยรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@jammypodger7470

3.เฮะ = หนูไม่สบายตัว
การเปล่งเสียงว่า “เฮะ” มักเป็นเสียงที่ออกมาจากปอด ซึ่งจะคล้ายเสียง “เฮ้อ” เวลาผู้ใหญ่ถอนหายใจ หากลูกร้องในลักษณะนี้ร่วมกับการอ้าปากกว้างจะเป็นการบ่งบอกว่าพวกเขากำลังไม่สบายตัว อึดอัด ร้อน เหนียวตัว หรือเปียกชื้นค่ะ

วิธีตอบสนองเสียง “เฮะ”
– เปลี่ยนผ้าอ้อม
– เช็ดตัวหรืออาบน้ำเพื่อระบายความร้อน
– ถอดเสื้อผ้าที่หนา ๆ ออก แล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าบาง ๆ
– ทาแป้งเพื่อป้องกันความเปียกชื้น ช่วยให้ลูกรู้สึกแห้งและสบายตัว

4.เอะ = หนูอยากเรอ
เมื่อลูกน้อยอ้าปากกว้างและปล่อยลมออกมาคล้ายเสียง “เอะ” หรือเสียงสระแอในภาษาไทยเหมือนกับเสียงผู้ใหญ่เรอเมื่อมีลมหรือแก๊สอยู่ในท้อง และร้อง ๆ หยุด ๆ คล้าย ๆ งอแงนี้จะเป็นการบอกถึงอาการ “ไม่สบายท้อง” เช่น อึดอัด ปวดท้อง เนื่องจากมีลมในท้องมาก และไม่จำเป็นว่าจะต้องร้องแบบนี้หลังกินนมเท่านั้น แต่สามารถร้องได้ตลอดวัน

วิธีตอบสนองเสียง “เอะ”
– คุณแม่จับลูกนั่งตัวตรง ลูบหลังหรือตบหลังเบาๆ
– คุณแม่นั่งหรือยืน อุ้มลูกอยู่ในระดับบ่า ตบหลังเบาๆ
– จับให้ลูกนอนหงาย แล้วยกขาของลูกสลับไปมา
– จับลูกนั่งตัวตรง และประคองบริเวณหลังและคอ จากนั้นโยกตัวลูกเบา ๆ เป็นวงกลม
– หากลูกเรอยาก คุณแม่อุ้มลูกโดยใช้ท้องพาดบริเวณกระดูกหัวไหล่ของแม่ และนวดบริเวณท้องลูกเบา ๆ แต่ไม่ควรทำหลังให้นม เพราะจะทำให้ลูกอาเจียนได้

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@echogrid

5.แอร๊ = หนูไม่สบายท้อง
เสียงร้องในลักษณะนี้เกิดจากแก๊สที่เคลื่อนตัวจากกระเพาะอาหารไปสู่ลำไส้ เมื่อลูกน้อยส่งเสียงร้องคล้ายคำว่า “แอร๊” พร้อมกับการพยายามยกเข่าขึ้นสู่ช่วงท้องแสดงว่าลูกน้อยอาจมีแก๊สหรือลมในท้อง ปวดท้อง หรือรู้สึกอยากถ่าย

วิธีตอบสนองเสียง “แอร๊”
สามารถใช้วิธีเดียวกับการวิธีตอบสนองเสียง “เอะ” ในข้อ 4 ได้เลยค่ะ

ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมคะ ว่าเด็กทารกจะสื่อสารความต้องการ ความรู้สึกของพวกเขาผ่านเป็นเสียงได้ถึง 5 เสียง คุณแม่ลองฟังและคอยสังเกตเสียงที่ลูกสื่อสารออกมาให้ดีนะคะ ว่าลูกน้อยต้องการจะบอกอะไรหรือมีอาการอะไร DooDiDo เพราะเสียงร้องของลูกน้อยแต่ละเสียงมีความหมายที่แตกต่างกันออกไปนั่นเองค่ะ การได้อยู่ดูแลลูกอย่างใกล้ชิดเป็นสิ่งที่วิเศษมากๆ ค่ะ เพราะจะได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่ลูกจะบอกเราอีกมากมายเลยค่ะ

ขอบคุณแหล่งที่มา : www.punnita.com