ปวดเบ้าตาขณะตั้งครรภ์ อันตรายหรือไม่ เกิดจากสาเหตุอะไร มาดูกัน!

WM

หญิงที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์หากมีปัญหาเรื่องของสุขภาพร่างกาย อาจส่งผลเสียต่อทารกที่อยู่ในครรภ์ได้

อาการคนท้องปวดเบ้าตา เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่คุณแม่หลาย ๆ ท่านอาจจะต้องพบเจอในช่วงตั้งครรภ์ ซึ่งคุณแม่บางอาจมองว่าอาการปวดเบ้าตาเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ แต่ในบางครั้งอาการปวดเบ้าตาในระหว่างตั้งครรภ์นั้น อาจเป็นสัญญาณเตือนของการเจ็บป่วยได้ค่ะ อาการปวดเบ้าตามีสาเหตุมาจากอะไร และมีวิธีบรรเทาอาการนี้ยังไงบ้างมาหาคำตอบกันได้เลยค่ะ

สำหรับผู้หญิงที่อยู่ในช่วงของภาวะตั้งครรภ์หรือคนท้อง และพบว่าตัวเองมีอาการปวดบริเวณเบ้าตาอย่างมาก จนไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ หรือมีอาการปวดเบ้าตาเพียงเล็กน้อยก็ตาม เมื่อเกิดภาวะนี้ขึ้นหลาย ๆ คนก็คงรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก การที่คนท้องปวดเบ้าตา เกิดขึ้นจากสาเหตุอะไรและมีอันตรายหรือไม่ วันนี้เราจะพาทุกคนไปหาคำตอบพร้อม ๆ กัน เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าผู้หญิงที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์เป็นภาวะที่ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง และอยู่ในช่วงที่บอบบางมากหากมีปัญหาเรื่องของสุขภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรง หรือโรคภัยไข้เจ็บเข้ามาเบียดเบียน ก็อาจส่งผลเสียต่อทารกที่อยู่ในครรภ์ได้

WM
ขอบคุณภาพจาก : https://pixabay.com/th/users/paulavsouza-6809869/

คนท้องปวดเบ้าตา อันตรายไหม
การที่คนท้องปวดเบ้าตา ถ้าถามว่าอันตรายไหม ก็ขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละบุคคล อาการคนท้องปวดเบ้าตาเกิดขึ้นจากหลากหลายสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป ในเบื้องต้นหากคนท้องปวดเบ้าตาไม่มาก ก็สามารถบรรเทาได้หลายวิธี หรือทานยาแก้ปวด เช่น ทานยาพาราเซตามอล แต่หากคนท้องปวดเบ้าตาแบบรุนแรง จนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ปกติ แนะให้รีบไปพบแพทย์ทันที ทันใด อย่าชะล่าใจ หรือปล่อยเอาไว้นาน เพื่อให้แพทย์ได้วินิจฉัยและตรวจหาสาเหตุที่คนท้องปวดเบ้าตา จนนำไปสู่การ รักษา ป้องกัน และแก้ไขต่อไป

คนท้องปวดเบ้าตา เกิดจากอะไร
1.ปวดหัวไมเกรน
ไมเกรนเกิดจากความเครียด โดยเฉพาะคุณแม่ที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ ที่มีความกังวลหลายอย่าง พักผ่อนน้อย อึดอัดหรือไม่ค่อยสบายตัว สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ส่งผลให้เกิดการปวดศีรษะหรือภาวะไมเกรนตามมา ไมเกรน คือ การปวดหัวข้างเดียว มักจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนตามมา บางครั้งยังทำให้เกิดอารมณ์ฉุนเฉียว หงุดหงิด หรือมองเห็นภาพมัวไม่ชัดเจน อาการปวดหัวไมเกรนข้างเดียวนี่เอง ที่ส่งผลข้างเคียงมาถึงเบ้าตา จนทำให้คนท้องปวดเบ้าตา

2.กล้ามเนื้อเกิดการตึงเครียด
คนท้องปวดเบ้าตาเพราะมีภาวะตึงเครียดของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ และท้ายทอย ทำให้มีอาการปวดร้าวไปที่บริเวณหน้าผากและขมับ รวมถึงเบ้าตาด้วย กล้ามเนื้อเกิดการตึงเครียดสามารถเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น ในการนอนผิดท่า นอนตกหมอน หรือเกิดขึ้นจากความเครียดในการทำงาน

3.โรคสมอง หู ตา โพรงจมูก และฟัน
สำหรับคนที่มีโรคประจำตัว หรือเคยมีประวัติเกี่ยวกับโรคของสมอง หู ตา โพรงจมูก และฟัน ยกตัวอย่างเช่น เนื้องอกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคไซนัส น้ำในหูหนวก โรคฟันผุ เป็นต้น โรคต่างๆ เหล่านี้อาจส่งผลข้างเคียงไปยังดวงตาและทำให้คนท้องปวดเบ้าตาตามมาตอนตั้งครรภ์นั่นเอง

WM
ขอบคุณภาพจาก : https://pixabay.com/th/users/herney-3516803/

หากคนท้องมีอาการปวดเบ้าตา ควรทำอย่างไรดี
1.นวดตาเพื่อผ่อนคลาย
วิธีนี้สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดเบ้าตาได้ง่ายๆ ในขั้นพื้นฐาน เพียงหลับตาแล้วใช้นิ้วชี้นวดเบาๆ ไปที่บริเวณรอบดวงตาคุณแม่ประมาณ 5-10 นาที ก็สามารถช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อของดวงตาได้แล้ว ทำให้คนท้องปวดเบ้าตาอาการทุเลาลงได้

2.พักสายตา
เมื่อพบว่าคนท้องปวดเบ้าตา ให้ทำการหลับตา เพื่อพักสายตาประมาณ 20 นาที และมองออกไปนอกหน้าต่างชมธรรมชาติ สิ่งสวยงาม จะช่วยทำให้ดวงตาของคุณแม่รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

3.ใช้น้ำตาเทียม
บางครั้งการที่คนท้องปวดเบ้าตา ก็อาจเกิดขึ้นจากการจ้องจอคอมฯ หรือจ้องโทรศัพท์เป็นเวลานานเกินไป จนทำให้เกิดอาการตาแห้งและรู้สึกปวดตาขึ้นมา วิธีแก้ง่ายมากๆ ให้พกน้ำตาเทียมติดตัวไว้ตลอดเวลา เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าปวดตาขึ้นมาหรือตาแห้ง ก็ให้นำน้ำตาเทียมมาหยดลงในตา เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ดวงตาของคุณแม่นั่นเอง

4.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
วิธีนี้แก้ได้ง่ายมากๆ หากคนท้องปวดเบ้าตาให้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชม. ต่อวัน เพื่อให้ดวงตาที่เหนื่อยล้ามาตลอดทั้งวันได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เพียงแค่นี้ก็ช่วยบรรเทาอาการปวดตาของคุณแม่ได้แล้ว

อาการปวดเบ้าตาในคนท้องถือว่าไม่เป็นอันตรายมากอย่างที่คิดไว้ค่ะ เมื่อคุณแม่ที่ท้องรู้สึกปวดเบ้าตาให้ลองทำตามวิธีที่ DooDiDo นำมาฝากนะคะ เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดเบ้าตาค่ะ หากไม่ดีขึ้นสามารถรับประทานยาพาราเซตามอล เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดได้ ถ้ายังมีอาการปวดเบ้าตาหนัก ๆ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นะคะ ให้รีบไปพบแพทย์โดยทันที เพื่อหาวิธีการรักษาและป้องกันต่อไปค่ะ

ขอบคุณแหล่งที่มา : https://kidminute.com