คุณแม่ต้องดู!! 7 วิธีในการเลือกซื้อกล่องข้าวเด็กให้กับลูกน้อย

WM

กล่องอาหารที่ดีจะช่วยถนอมรสชาติอาหารเพื่อให้เด็กๆ ได้รับสารอาหารที่มีคุณภาพ

เมื่อถึงวัยที่ลูกต้องเริ่มเข้าเรียนคุณพ่อคุณแม่หลายคนคงจะกังวลว่าในแต่ละวันที่ลูกอยู่ที่โรงเรียน ลูกจะรับประทานอาหารอะไร และได้รับสารอาหารครบถ้วนหรือไม่ คงจะดีไม่น้อยถ้าเรามีเวลาทำข้าวกล่องให้เค้าไปทานที่โรงเรียนเพื่อสุขภาพและสารอาหารที่เรามั่นใจได้ว่าเค้าได้รับอย่างเต็มที่ และสิ่งที่สำคัญก็คือกล่องข้าวเด็กที่ลูกใส่อาหารไปทานนั่นเองค่ะ

เมื่อลูกๆ เริ่มทานอาหารได้ อย่างเช่นอาหารจำพวก Finger Food ที่ช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้เกี่ยวกับการกินอาหารด้วยตัวเอง ก็ถึงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่อาจจะอยากมองหากล่องข้าวเด็กดีๆ ซักอันเอาไว้ใส่อาหารสำหรับพกพาให้ลูก แต่จะเลือกกล่องข้าวเด็ก แบบไหนดี ให้เหมาะสม แล้วควรต้องพิจารณาจากปัจจัยอะไรบ้าง วันนี้มีคำตอบมาให้ที่นี่เลยค่ะ

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://shopee.co.th

1. วัสดุที่ใช้ผลิตกล่องข้าวเด็ก
สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆ เวลาที่ต้องเลือกซื้อภาชนะสำหรับใส่อาหารของลูกๆ คือ เลือกซื้อวัสดุที่ปลอดภัยค่ะ โดยกล่องข้าวเป็นภาชนะที่ต้องสัมผัสกับอาหารของลูกน้อยโดยตรง ควรเลือกวัสดุที่สามารถทนต่อความร้อนและความเย็นได้ เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานทั้งเวลาที่ต้องแพ็คอาหารร้อนๆ ลงกล่อง หรือเวลาที่ต้องนำกล่องอาหารเด็กแช่ไว้ในตู้เย็น

นอกจากนี้ควรเลือกกล่องข้าวที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพ Food grade สำหรับใช้กับอาหารโดยเฉพาะ หากเป็นกล่องพลาสติกควรเป็นพลาสติกที่ปราศจากตะกั่ว หรือสารก่อมะเร็งอื่นๆ ควรสังเกตหาฉลาก BPA Free หรือเลือกใช้กล่องข้าวที่ผลิตจากสแตนเลสอย่างดี ไม่ขึ้นสนิม

2. ขนาดกล่องขาวเด็ก
ขนาดของกล่องข้าวเด็กนับว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการเลือกซื้อ เพราะหากซื้อกล่องที่ใหญ่เกินความจำเป็น ก็จะทำให้กินเนื้อที่ในการจัดเก็บ หรือเวลาพกพากล่องอาหารเด็กออกไปข้างนอกก็ไม่สะดวก หนักแถมยังใช้งานกล่องข้าวได้ไม่เต็มประสิทธิภาพอีกด้วย ควรเลือกกล่องข้าวเด็กที่มีขนาดพอดีกับปริมาณอาหารที่ต้องการใส่เป็นประจำ ไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป

3. ความทนทานของกล่องข้าวเด็ก
ควรเลือกกล่องข้าวเด็กที่มีความทนทานต่อการใช้งาน ทำให้เป็นการซื้อที่คุ้มค่า กล่องข้าวเด็กควรผลิตจากวัสดุอย่างดี เช่น วัสดุ Tritan ที่นอกจากจะมีความปลอดภัยแล้วยังทนทาน ยังตกไม่แตกอีกด้วย หรือผลิตจากพลาสติกเนื้อยืดหยุ่น เป็นต้น

นอกจากนี้ให้ลองสังเกตตัวล็อคกล่องข้าวเด็กว่าทนทาน แข็งแรงหรือไม่ การปิดกล่อง หรือล็อคกล่องข้าวสามารถทำได้ง่าย และปิดสนิทมั้ย เพราะกรณีที่ให้เด็กๆ หิ้วกล่องข้าวไปโรงเรียน หรือใช้งานนอกสถานที่จะได้ปิดล็อคกล่องได้เองง่าย ๆ ช่วยป้องกันการหกเลอะเทอะ รวมถึงยังเป็นการป้องกันสิ่งเจือปนในอาหาร

4. กล่องข้าวเด็กแบบแบ่งช่องหรือไม่แบ่งช่อง
เลือกกล่องข้าวเด็กให้เหมาะสมกับการใช้งานของเรา อย่างกล่องข้าวเด็กปัจจุบันจะมีแบบที่สามารถแบ่งช่องได้ และแบบไม่แบ่งช่อง หากคุณแม่เป็นคนที่แพ็คอาหารหลากหลายให้ลูก หรือแพ็คขนมของกินเล่น ส่วนมากมักเลือกใช้งานกล่องข้าวเด็กแบบแบ่งช่องมากกว่า ในขณะที่กล่องข้าวเด็กแบบไม่แบ่งช่อง มักเหมาะกับการใส่อาหารมื้อหลัก เช่น ข้าวผัด ผัดสปาเก็ตตี้ หรือกับข้าวอื่น ๆ

WM
ขอบคุณภาพจาก: www.lazada.co.th

5. รูปร่าง รูปทรงกล่องข้าวเด็ก
ปัจจุบันเรามีกล่องข้าวเด็กที่ออกแบบมาหลากหลายรูปทรงให้เลือกใช้ เช่น กล่องข้าวทรงกลม หรือสี่เหลี่ยม ซึ่งเป็นรูปแบบกล่องข้าวเด็กที่เราเห็นกันเป็นประจำ หรือจะเป็นรูปทรงกระบอกที่มีภาชนะใส่อาหารซ้อนกันเป็นชั้น แบบนี้ก็ใส่อาหารได้หลากหลาย และยังประหยัดเนื้อที่ได้ดีด้วย

6. ฟังก์ชันเสริมอื่นๆ ของกล่องใส่อาหารเด็ก
เลือกกล่องข้าวเด็กจากฟังก์ชันเสริมอื่น ๆ เช่น กล่องข้าวที่แถมซิลิโคนกันความร้อน หรือกระเป๋าเก็บความร้อน หรือกล่องข้าวที่มาพร้อมสายสะพาย หรือที่มีฟังก์ชันสำหรับเก็บช้อนส้อมมาด้วย โดยฟังก์ชันเสริมเหล่านี้ล้วนอำนวยความสะดวกต่อการใช้งานของกล่องข้าวเด็ก ให้ใช้ได้สะดวกและตอบโจทย์มากขึ้น

7. ง่ายต่อการทำความสะอาด
กล่องข้าวเด็กส่วนมากมักออกแบบมาให้มีความโค้งมน เพื่อให้ง่ายต่อการทำความสะอาด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ควรพิจารณาเวลาเลือกซื้อกล่องอาหารเด็ก คุณแม่คุณพ่อควรเลือกกล่องข้าวเด็กยี่ห้อที่ออกแบบมาให้ถอดล้างได้ทุกชิ้นส่วน สามารถล้างทำความสะอาดได้ทุกซอกทุกมุม ไม่เก็บกักกลิ่นไม่พึงประสงค์ และสามารถแห้งได้เร็ว ไม่ทิ้งคราบสกปรกด้วย หากไม่รู้ว่าจะซื้อกล่องข้าวเด็กยี่ห้อไหนดี สามารถคลิกอ่านได้ที่บทความได้ล่างเลยค่ะ

ทั้งหมดที่ DooDiDo นำมาฝากคุณแม่ในวันนี้ เป็น 7 สิ่งที่คุณแม่ต้องนำไปพิจารณาในการเลือกซื้อ กล่องข้าวเด็กให้ลูก ๆ กันนะคะ ที่สำคัญก่อนการเลือกซื้อต้องตรวจสอบข้อมูล วัสดุที่ใช้ในการผลิต จะช่วยถนอมคุณภาพและรสชาติอาหารได้ยาวนานเพื่อให้เด็ก ๆ ได้รับสารอาหารที่มีคุณภาพครบถ้วนนั่นเองค่ะ

ขอบคุณแหล่งที่มา : https://kidminute.com