เคล็ดลับในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อส่วนสำคัญให้กับลูกรัก!!

WM

การฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ก็สำคัญสำหรับเด็กๆ เหมือนกันนะ

เป็นอีกสิ่งสำคัญในการดูแลลุกน้อยนอกจากการที่มอบอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่มากมาย หรือการหาของเล่นที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของลูกน้อยในช่วงของการเจริญเติบโตนั้นเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่เรื่องของการเสริมสร้างความแข็งแรงทางด้านร่างกายในส่วนของกล้ามเนื้อก็สำคัญเช่นกันะคะ  ร่างกายของเด็กๆนั้นในส่วนของกล้ามเนื้อจะมีการพัฒนาอยู่ตลอดนะคะ การพาลูกน้อยของเราออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งจะช่วยให้กล้ามเนื้อของลูกน้อยได้มีพัฒนาการและยังช่วยให้มีความแข็งแรงได้อีกด้วย  เด็กจะเริ่มซุกซนมากขึ้นเพราะพวกเขานั้นมีพลังงานที่เหลือล้น สำหรับเด็กเล็กคุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องปรึกษาคุณหมอผู้เชี่ยวชาญในการออกกำลังกายอย่างถูกต้องนะคะ

การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรปลูกฝังให้เด็กสนใจตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะการออกกำลังกายช่วยให้สุขภาพสุขภาพกายใจแข็งแรง โดยเฉพาะการ ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Strength training) ที่ช่วยให้อวัยวะ ภายในร่างกายของเด็ก เช่น กล้ามเนื้อ ข้อต่อ กระดูก แข็งแรงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การจะให้เด็กออกกำลังกายประเภทนี้ ก็ควรเลือกให้เหมาะสมกับช่วงวัยของเด็ก เพื่อป้องกันอันตราย หรืออาการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นจนส่งผลเสียต่ออวัยวะอย่างถาวรได้

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@gmax

ประโยชน์ที่เด็กๆ ได้รับจากการ ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (American Academy of Pediatrics) ระบุว่า การฝึกความแข็งแรงหรือความอดทนของกล้ามเนื้อ เช่น การยกน้ำหนักทั้งแบบฟรีเวท (ใช้ดัมเบล หรือบาร์เบล) การยกน้ำหนักแบบแมชชีน การออกกำลังกายด้วยยางยืด เป็นสิ่งที่เด็กสามารถทำได้ หากยึดหลักเหล่านี้

  • รอให้เด็กโตพอ
  • พาเด็กไปตรวจร่างกายก่อน
  • อย่าให้เด็กโหมออกกำลังกาย
  • เด็กต้องออกกำลังกายภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ หรือเทรนเนอร์ที่ผ่านการรับรอง เพื่อให้เด็กสามารถฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้อย่างปลอดภัยและถูกวิธี

การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง และความอดทนของกล้ามเนื้อ อย่างถูกวิธีนั้น สามารถส่งผลดีต่อร่างกายเด็กๆ ดังนี้

  • ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความอดทนให้กับกล้ามเนื้อ
  • ช่วยให้กระดูกแข็งแรง
  • ช่วยรักษาความดันโลหิตและคอเลสเตอรอลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ
  • ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ ทำให้ค่าดัชนีมวลกายให้อยู่ในระดับปกติ
  • ช่วยให้สุขภาพจิตดี เสริมสร้างความมั่นใจและความภูมิใจในตัวเอง
  • ช่วยลดความเสี่ยงข้อต่อและกล้ามเนื้อบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
  • ช่วยเพิ่มสมรรถภาพในการเล่นกีฬา และการออกกำลังกายอื่นๆ
WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@robbie36

เริ่มฝึกได้ตั้งแต่วัยไหน และแต่ละวัยควรฝึกอย่างไรดี

เด็กสามารถออกกำลังกายเพื่อฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้ตั้งแต่อายุ 7 ปีขึ้นไป หากเด็กสามารถควบคุมการทรงตัวและร่างกายของตัวเองได้ พร้อมกับออกกำลังกายภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ

เด็กอายุ 7-13 ปี

สามารถออกกำลังกายแบบบอดี้เวท (Bodyweight exercises) เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อและความทนทานของร่างกาย ได้ด้วยท่าออกกำลังกาย เช่น ท่าสควอช ท่าลันจ์ (Lunge) ท่าวิดพื้น ท่าแพลงก์ ท่าเบอร์พี (Burpee) ท่าดึงข้อ (Pull-up) ซึ่งไม่ทำให้เกิดแรงต้านที่กล้ามเนื้อมากเกินไป ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกกล้ามเนื้อโดยการยกน้ำหนักแบบฟรีเวท เมื่อเด็กเรียนรู้ท่าทางและพื้นฐานของการออกกำลังกายเพื่อฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแล้ว อาจเริ่มให้ฝึกยกน้ำหนักแบบฟรีเวท นั่นคือการยกน้ำหนักโดยใช้อุปกรณ์ เช่น ดัมเบลหรือบาร์เบล ที่เราสามารถเคลื่อนไหว บังคับมุมต่างๆ ได้อย่างอิสระ โดยใช้ท่าไบเซพ เคิร์ล (Bicep curl) เพื่อฝึกกล้ามเนื้อแขนหน้า ท่าไตรเซพ เอ็กเทนชัน (triceps extension) เพื่อฝึกกล้ามเนื้อแขนด้านหลัง เป็นต้น อย่างไรก็ตามการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสำหรับเด็กควรใช้อุปกรณ์สำหรับเด็ก หากจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์สำหรับผู้ใหญ่ควรใช้ภายใต้คำแนะนำ ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง

เด็กอายุ 13-18 ปี

สามารถเริ่มฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแบบขั้นสูงขึ้น เช่น ฝึกฝนกล้ามเนื้อทุกส่วนด้วยการยกน้ำหนักแบบ Olympic Lifting นั่นคือท่าสแนทซ์ (Snatch) และท่าคลีนแอนด์เจิร์ก (Clean and Jerk) หรือเริ่มเน้นฝึกทักษะด้านกีฬาที่สนใจได้ พร้อมกับเสริมสร้างความภูมิใจในตัวเองให้กับเด็ก และฝึกให้เด็กมีนิสัยรักการออกกำลังกาย โดยต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและความถูกต้องของท่าทางเป็นหลัก

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/peggy_marco-1553824/

ข้อแนะนำสำหรับการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสำหรับเด็ก

เริ่มจากง่ายๆ สำหรับเด็กที่เพิ่งออกกำลังกายไม่ควรเน้น ที่การฝึกความอดทนหรือความแข็งแรง แต่ควรให้เด็กทำความรู้จักกับการออกกำลังกายก่อน จากนั้นจึงค่อยให้เด็กฝึกยกน้ำหนักจากระดับน้อยๆ เมื่อเด็กยกน้ำหนักในระดับเดิมได้แล้ว 8-15 ครั้งจึงค่อยเพิ่มน้ำหนักขึ้นทีละ 10% จากน้ำหนักเดิม

  • ให้ความสำคัญกับเทคนิควิธี ควรสอนให้เด็กรู้จักเทคนิคในการใช้อุปกรณ์แต่ละอย่าง หรือออกกำลังกายแต่ละท่าอย่างถูกต้อง แทนที่จะมุ่งเน้นให้เด็กอดทนได้มากๆ หรือออกกำลังกายได้หลายๆ ครั้ง
  • ควรอยู่ในความควบคุมดูแล เด็ก ๆ ควรออกกำลังกายภายใต้ความควบคุมดูแล และคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เทรนเนอร์ที่ได้รับการรับรอง หากเป็นไปได้ ควรเลือกเทรนเนอร์ส่วนตัวที่ได้รับการรับรองด้านการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสำหรับเด็ก
  • อย่ายกน้ำหนักเร็วหรือหักโหมเกินไป หากต้องการยกน้ำหนักเยอะๆ หรือเพาะกาย ควรทำตอนร่างกายและโครงกระดูกเติบโตเต็มที่แล้วเท่านั้น
  • อย่าลืมวอร์มอัพและคลูดาวน์ ทั้งก่อนและหลังออกกำลังกายเพื่อฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ 10-15 นาที เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
  • เสริมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อหลักทุกกลุ่ม เริ่มต้นด้วยท่าออกกำลังกาย 6-8 ท่า ท่าละ 1 เช็ต เซ็ตละ 8-15 ครั้ง ทั้งกล้ามเนื้อส่วนบน กล้ามเนื้อส่วนล่าง และกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว
  • ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออย่างน้อยครั้งละ 20-30 นาที สัปดาห์ละ 2-3 วัน ไม่ควรฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อติดต่อกัน แต่ควรพักผ่อนอย่างน้อย 1 วัน
  • ไม่ควรออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียว แต่ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิค ควบคู่กันไปด้วย นอกจากนี้ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อให้ร่างกายชุ่มชื้นอยู่เสมอ และกินอาหารที่มีประโยชน์เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นฟูได้เร็วขึ้น

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ ก็จบกันไปแล้วกับข้อมูลและเรื่องราวดีๆ ที่พวกเรา DooDiDo ได้นำมาฝากกับคุณพ่อและคุณแม่ที่ต้องการจะหาวิธีในการส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับสุขภาพร่างกายของลูก จะเห็นว่าเด็กจะเริ่มมีพัฒนาการทางร่างกายตั้งแต่อายุ 7 ปีซึ่งเป็นช่วงวัยเด็ก มาจนถึงช่วงวัยรุ่นในช่วงอายุ 18 ปี การพัฒนาการของกล้ามเนื้อในแต่ละช่วงเวลาจะเป็นไปตามการเจริญเติบโตตามวัยนะคะ อย่างไรก็ตาม อย่าให้ลูกของเราหักโหมกับการออกกำลังกายมากจนเกินไปด้วยนะคะ ค่อยให้การสนับสนุนการออกกำลังกายของลูกมากกว่าที่จะกระตุ้นด้วยคำพูดนะคะ

ขอบคุณแหล่งที่มา : www.sanook.com