6 กิจกรรมลดความเครียดให้ลูกจากการเรียนออนไลน์

WM

การเรียนออนไลน์นั้น ทำให้เด็กบางคน เกิดความเครียดจนมีอาการโรคซึมเศร้า

ด้วยสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่กำลังระบาดอยู่ตอนนี้ จึงทำให้เกิดผลกระทบกับการใช้ชีวิตต่าง ๆ มากมาย เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกันที่ทำให้เกิดการแพร่เชื้อ จึงมีมาตรการให้อยู่กับบ้าน โดยการทำงานแบบออนไลน์ หรือแม้กระทั่งการเรียนการสอนก็ต้องปรับให้เข้ากับสถานการณ์ด้วยการเรียนออนไลน์นั่นเองค่ะ ซึ่งการเรียนออนไลน์นี้พบว่าเด็ก ๆ นั้นเกิดความเครียดจนทำให้เด็กบางคน มีอาการเป็นโรคซึมเศร้าตามมาค่ะ

ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (TPAK) สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เผยผลการวิจัยในงานเสวนาออนไลน์ “ทราบแล้วเปลี่ยน” ในหัวข้อ แนวทางส่งเสริมสุขภาพเด็กในช่วงเรียนออนไลน์เด็กไทยยุคโควิด พบว่า เด็กไทยในยุคโควิดนี้ มีพฤติกรรมเนือยนิ่ง 79.0% และมีอาการเครียดสูงถึง 74.9% ซึ่งหากปล่อยไว้เป็นเวลานาน อาจจะเป็นต้นเหตุให้เกิดความเจ็บป่วยทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคความดัน โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคซึมเศร้า เพื่อป้องกันก่อนจะเกิดปัญหาที่แก้ไขได้ยาก ‘ปิดเทอมสร้างสรรค์’ มีกิจกรรมอันเป็นแนวทางแนะนำสำหรับปัญหาพฤติกรรมเนือยนิ่งและความเครียดของนักเรียนที่ยังคงต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่หน้าจอดังนี้

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/shelleywiart-13492988/

1.กอด
การกอดโดยเฉพาะกอดกับคนที่รักนั้น ฮอร์โมนออกซิโทซิน หรือ “ฮอร์โมนกอด” จะถูกปล่อยออกมา ทำให้ระดับความสุขสูงขึ้นและลดความเครียดลงได้ ไม่ว่าคนที่คุณรักจะเป็นใครลองอ้าแขนโอบรัดกันและกันเข้าไว้ ความรักบรรเทาความเครียดได้

2.สร้างงานศิลป์
เราไม่ได้บอกให้คุณกลายร่างเป็น ปาโบล ปิกัสโซ ลีโอนาโด ดาวินชี หรือวินเซนต์ แวนโก๊ะ แต่ที่จะบอกก็คือ ขอให้คุณมีเพียงกระดาษและสี ผลจากงานวิจัยเรื่อง งานวิจัยเรื่อง “Can Coloring Mandalas Reduce Anxiety?” โดย Nancy A. Curry and Tim Kasser, Galesburg, IL ก็ยืนยันแล้วว่า มันสามารถทำให้ความเครียดและความวิตกกังวลของคุณลดลงได้ เพราะการระบายสี เป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่ง หากไม่สะดวกวาดรูป ก็สามารถใช้เป็นหนังสือภาพระบายสี ที่ตอนนี้ผู้ผลิตก็ทำมาสำหรับทุกวัยแล้ว

3.แบ่งเวลายืดเหยียด
หากเด็ก ๆ หรือตัวผู้ปกครองเอง นั่งอยู่กับโต๊ะทำงาน โต๊ะเรียนหนังสือเป็นเวลานาน ลองลุกชึ้นมายืดเส้นยืดสาย จะช่วยคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อแขน ขา บ่า หลัง และสายตาที่ต้องจับจ้องจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เป็นเวลานานได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผ่อนคลายระหว่างวันได้ด้วย โดยใน 1 ชั่วโมง ต้องแบ่งเวลายืดเหยียดสั้นๆ 1 ครั้ง

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/pezibear-526143/

4.ออกไปเดิน
การเคลื่อนไหวที่เกิดจากการเดินช่วยทำให้ร่างกายตื่นตัวมากขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง โรคควมดันโลกหิตสูง ช่วยให้นอนหลับได้ดี นอกจากนี้ การเดินยังช่วยในด้านจิตใจและอารมณ์ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข คือ เซโรโทนิน ซึ่งช่วยลดอาการซึมเศร้า ความวิตกกังวลและความเครียดได้อีกด้วย และการได้เปลี่ยนบรรยากาศระหว่างทำงานหรือเรีนยนั้นก็ทำให้สมองโล่ง และแก้ปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้นด้วย

5.ออกกำลังกายเป็นประจำ
เมื่อต้องทำงานหรือเรียนที่บ้าน สิ่งหนึ่งที่พบก็คือ ผู้คนออกกำลังกายน้อยลง จนถึงขั้นเนือยนิ่ง แต่การออกกำลังกายไม่ว่าจะเป็นออกกำลังกายในยิม การวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือการเล่นกีฬาชนิดต่างๆ หรือการเคลื่อนไหวใดๆ ก็ตามจะเพิ่มสารเอ็นโดรฟินในร่างกาย สารเคมีในสมองนี้ทำให้คุณรู้สึกสดชื่น เมื่อร่างกายของคุณสร้างสารเอ็นดอร์ฟินมากขึ้น ความกังวล ความเครียดก็จะหายไป นอกจากนี้งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยโอทาโก ประเทศนิวซีแลนด์ ที่ตีพิมพ์ใน Frontier in Psychology เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมายังกล่าวด้วยว่า การออกกำลังกายจะช่วยให้คุณภาพการนอนหลับดีขึ้นซึ่งจะช่วยให้สุขภาพจิตองค์รวมดีขึ้นด้วย ลองชวนคนข้างๆ ออกกำลังกายด้วยกัน การได้พูดคุยกันระหว่างออกกำลังกายก็สามารถลดความเครียดได้เช่นกัน

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/pezibear-526143/

6.ฝึกควบคุมลมหายใจ
ใคร ๆ ก็หายใจได้ ถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่า ใคร ๆ ก็ต้องหายใจ แต่หายใจอย่างไรให้มีประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจมากที่สุด ลองหายใจเข้าทางจมูกให้ลึกอย่างช้าๆ จากนั้นพ่นลมหายใจออกทางปากยาวๆ และช้าๆ เช่นกัน จิตแพทย์จากรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา เกรกอรี สก๊อตต์ บราวน์ (Gregory Scott Brown, MD) แนะนำทฤษฎี 4-7-8 หายใจเข้า 4 วินาที กลั้นหายใจ 7 วินาที จากนั้นหายใจออก 8 วินาที ทำแบบนี้ซ้ำๆ เซ็ตละประมาณ 7 – 8 ครั้ง วันละประมาณ 2 – 3 เซ็ต การหายใจด้วยวิธีการนี้เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการผ่อนคลายความตึงเครียด เพิ่มความตื่นตัวให้ทั้งจิตใจและร่างกาย ช่วยลดความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้สมองปลอดโปร่ง โดยจะนั่งทำ หรือนอนราบก็ได้

ทั้ง 6 กิจกรรมที่ DooDiDo นำมาฝากผู้ปกครองที่ต้องดูแลเรื่องการเรียนออนไลน์ของลูกในวันนี้ เป็นกิจกรรมที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปปรับใช้กับลูก ๆ ที่บ้านค่ะ เพื่อช่วยให้ลูกไม่ต้องเครียดจากเรียนออนไลน์ แถมยังเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างคนใกล้ชิดได้เป็นอย่างดีอีกด้วยนะคะ เป็นกำลังใจให้เด็ก ๆ ทุกคนที่เนรียนออนไลน์และคุณพ่อคุณแม่ทุกคนผ่าวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้นะคะ

ขอบคุณแหล่งที่มา : https://happyschoolbreak.com