แนะนำ 8 วิธีง่ายๆ ห่างไกลจากโรคกรดไหลย้อน!!

WM

สาเหตุ!! โรคกรดไหลย้อน เกิดจากอะไร คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

โดยปรกติแล้วหลอดอาหารจะมีการบีบตัวเพื่อไล่อาหารลงด้านล่างและมีหูรูด ที่ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้น้ำย่อยไหลย้อนกลับมา เมื่อหูรูดประสิทธิภาพการทำงานน้อยลง ทำให้กรดไหลย้อนกลับเข้าสู่หลอดอาหาร โรคกรดไหลย้อนนี้ สามารถพบได้กับคนทุก ช่วงอายุ ทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งจากสถิติพบว่า มีคนเป็นโรคนี้ร้อยละ 20 และสามารถพบว่าผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคนี้ คือ คนอ้วนและคนสูบบุหรี่ โรคกรดไหลย้อนสามารถส่งผลเสียต่อ กล่องเสียง ลำคอ และปอดได้

“โรคกรดไหลย้อน” (Gastro-Esophageal Reflux Disease; GERD) คือภาวะที่มีกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร ซึ่งหลอดอาหารเป็นอวัยวะที่ไม่ทนต่อกรด จึงทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร ซึ่งโดยปกติ หลอดอาหารจะมีการบีบตัวไล่อาหารลงด้านล่างและหูรูด ทำหน้าที่ป้องกันการไหลย้อนของน้ำย่อย กรด หรืออาหาร ไม่ให้ไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร พบได้มากในคนอ้วน หรือคนสูบบุหรี่ ส่งผลต่อกล่องเสียง ลำคอ หรือปอด เรื้อรังกลายเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้ อาการแสบร้อนทรวงอกเนื่องจากกรดไหลย้อน เป็นอาการของโรคกรดไหลย้อน ซึ่งนอกจากอาหารบางประเภทจะกระตุ้นอาการนี้ เช่น กาแฟ น้ำอัดลม มะเขือเทศ แอลกอฮอล์ และช็อกโกแลต ก็ยังมีปัจจัยอื่นที่อาจเป็น สาเหตุโรคกรดไหลย้อน ได้เช่น

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/vnukko-695091/

1. ยาบางชนิด
หากคุณใช้กลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal Anti-inflammatory Drug: NSAID ) เป็นประจำ เช่น ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือยานาพรอกเซน (naproxen) อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อนได้ คุณควรปรึกษาคุณหมอ หากคิดว่ายาที่ใช้รักษาโรคส่งผลต่ออาการกรดไหลย้อนของคุณ และไม่ควรตัดสินใจหยุดกินยาด้วยตัวเอง สำหรับยาบางชนิดที่จ่ายโดยแพทย์ รวมถึงยาที่สามารถซื้อได้ตามร้านขายยา ที่มีแนวโน้มว่าจะสามารถกระตุ้นอาการแสบร้อนทรวงอก ได้แก่ ยารักษาอาการของโรคหอบหืด โรคความดันสูง ปัญหาหัวใจ โรคข้ออักเสบ หรือการอักเสบอื่นๆ ยารักษาโรคกระดูกพรุน รวมถึงยาที่ใช้รักษาโรคนอนไม่หลับ โรคซึมเศร้า และยาบรรเทาความเจ็บปวด

2. การสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่ทำให้อาการของโรคกรดไหลย้อนแย่ลง เนื่องจากการสูบบุหรี่ทำให้กล้ามเนื้อหูรูด ที่กั้นระหว่างกระเพาะอาหารและหลอดอาหารอ่อนแอลง (ส่งผลให้กรดในกระเพาะไหลย้อนกลับมาในหลอดอาหาร) เป็นสาเหตุให้น้ำดีที่ใช้ในการย่อยไขมัน ย้ายจากลำไส้เล็กไปสู่กระเพาะ นอกจากนี้การสูบบุหรี่ยังลดปริมาณน้ำลาย ที่โดยปกติแล้วมีหน้าที่กำจัดกรดออกจากหลอดอาหาร โดยในน้ำลายจะมีไบคาร์บอเนต ซึ่งเป็นตัวต้านกรดโดยธรรมชาติ

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/thedigitalartist-202249/

3. ความเครียด
ความเครียดสามารถเป็นตัวกระตุ้นอาการกรดไหลย้อน แต่ความเครียดไม่ได้เป็นสาเหตุ ที่ทำให้การผลิตกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยใน Journal of Psychosomatic Research ที่ชี้ว่า ผู้ป่วยที่มีอาการกรดไหลย้อน มักรู้สึกถึงอาการนี้เมื่อมีความเครียด แต่ไม่ได้บ่งชี้ถึงระดับของกรดในกระเพาะที่เพิ่งขึ้นจริงๆ แต่อย่างใด หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ที่เครียดอาจรู้สึกถึงอาการกรดไหลย้อนมากขึ้น หรือผลกระทบจากความเครียดทางประสาทวิทยา อาจจะส่งผลให้เพิ่มความเจ็บปวดในหลอดอาหารมากขึ้นได้

4. การกินอาหารมากเกินไป
ผู้ที่ชื่นชอบการกินบุฟเฟต์ ควรระวังปริมาณในการกิน เพราะการกินอาหารมากเกินไป อาจกระตุ้นให้เกิดอาการกรดไหลย้อน เนื่องจากกระเพาะจะขยายขนาดเวลาที่มีอาหารมากในกระเพาะ ยิ่งกระเพาะของคุณขยายขนาดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารตอนล่าง จะปิดได้ไม่ดีมากเท่านั้น ซึ่งจะส่งผลทำให้ไม่สามารถป้องกันอาหาร และน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ไหลขึ้นย้อนกลับมาในหลอดอาหารได้

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/free-photos-242387/

5. นิสัยการกิน
การกินเร็วเกินไป อาจกระตุ้นอาการกรดไหลย้อน รวมถึงการกินอาหารในท่านอน หรือกินอาหารตอนกลางคืน ในช่วงเวลาก่อนเข้านอน 2-3 ชั่วโมง นิสัยการกินเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อน มีงานวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นที่ชี้ว่า ผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อนไม่ควรกินอาหารก่อนเอนตัวลงนอน ดังนั้น นิสัยการกินทั้งการกินเร็ว กินแล้วเอนตัวลงนอนทันที รวมถึงการกินก่อนเวลาเข้านอน ต่างก็อาจทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อนได้

6. โรคไส้เลื่อนกะบังลม
กะบังลมคือผนังกล้ามเนื้อที่กั้นระหว่างกระเพาะกับช่องอก ซึ่งจะช่วยกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารตอนล่าง (LES, lower esophageal sphincter) ในการรักษากรดในกระเพาะอาหารให้อยู่ภายในกระเพาะอาหาร แต่เมื่อกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารตอนล่าง และส่วนบนของกระเพาะอาหารเคลื่อนที่ขึ้นด้านบน กะบังลมจะทำให้เกิดโรคไส้เลื่อนกะบังลม (Hiatal Hernia) ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะส่งผลให้เกิดอาการกรดไหลย้อน และคุณอาจไม่รู้ว่าคุณมีอาการโรคไส้เลื่อนกะบังลมก็เป็นได้ แต่โดยปกติ อาการแสบร้อนทรวงอกเนื่องจากกรดไหลย้อน อาจไม่ได้หมายถึงภาวะไส้เลื่อนกะบังลมเสมอไป

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/jarmoluk-143740/

7. ความอ้วนหรือน้ำหนักเกิน
งานวิจัยชี้ว่าความอ้วนหรือการมีน้ำหนักเกิน สามารถกระตุ้นอาการกรดไหลย้อน อาการแสบร้อนทรวงอก และโรคกรดไหลย้อนได้ โดยมีงานวิจัยที่ได้เปรียบเทียบกลุ่มคนผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน กับกลุ่มผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคกรดไหลย้อน กลุ่มผู้ที่มีปัญหากรดไหลย้อนโดยทั่วไป จะมีน้ำหนักมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้เป็นโรคกรดไหลย้อน นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยในปี 2003 ที่เผยแพร่ในวารสาร Journal of the American Medical Association ที่พบว่าความเสี่ยงในการมีอาการกรดไหลย้อน จะเพิ่มขึ้นตามค่าดัชนีมวลกาย (Body-mass index, BMI) และดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างค่าดัชนีมวลกายกับอาการกรดไหลย้อนนี้ จะเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย (โดยเฉพาะผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือน) คำอธิบายอีกอย่างหนึ่งในกรณีนี้ที่เป็นไปได้ก็คือ เนื่องจากการมีมวลไขมันมากเกินไปในช่องท้อง และสารเคมีที่มวลไขมันปล่อยออกมา อาจเป็นปัจจัยที่เป็นไปได้ว่า อาจทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อน

8. การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายอาจกระตุ้นอาการกรดไหลย้อน โดยบางครั้งอาจมีสาเหตุเนื่องจากความดันที่เพิ่มขึ้นในช่องท้อง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกรดไหลย้อน มีการศึกษาวิจัยที่ดูความแตกต่างของประเภทของการออกกำลังกาย ผลการวิจัยพบว่านักกีฬายกน้ำหนักมีอาการแสบร้อนทรวงอกและกรดไหลย้อนมากที่สุด ส่วนนักวิ่งมีอาการไม่รุนแรง และมีอาการกรดไหลย้อนน้อยกว่านักยกน้ำหนัก และนักปั่นจักรยานมีภาวะกรดไหลย้อนน้อยที่สุด

โดยข้อปฏิบัติต่างๆ เหล่านี้ DooDiDo คิดว่าสามารถช่วยให้บรรเทาการเกิดโรคกรดไหลย้อนได้ เพราะปัญหาของโรคกรดไหลย้อนเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม ซึ่งโรคกรดไหลย้อนควรเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การทานอาหารมากเกินไป การนอนหลังจากรับประทานอาหารเลย การกินอาหารที่มีรสจัด การปรับท่านอน เลิกสูบบุหรี่ และดื่มสุรา เมื่อเกิดอาการผิดปรกติแล้วก็ต้องดูแลตัวเองให้หายจากโรคกรดไหลย้อน ซึ่งการรักษานั้น ต้องใช้เวลานาน ค่อยเป็นค่อยไป

ขอบคุณแหล่งที่มา: www.facebook.com/NarahShop, https://sites.google.com/site/lifevantageprapasara