แจกเทคนิคพิชิตการเรียนออนไลน์ของลูกๆ สำหรับคุณพ่อและคุณแม่!!

WM

3 เทคนิคพิชิตเรียนออนไลน์ ฉบับพ่อแม่รุ่นใหม่

วันนี้พวกเรากลับมาพร้อมกับสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับคุณพ่อคุณแม่และลูกน้อยอย่างมากในช่วงที่มีการเรียนออนไลน์นะคะวันนี้เราจะมาแจกเทคนิคพิชิตการเรียนออนไลน์ของลูกๆ และเป็นประโยชน์สำหรับต่อพ่อคุณแม่ด้วย  ก็จะเห็นได้ว่าคุณพ่อคุณแม่เองก้ไม่สามารถที่จะหยุดทำงานได้เพราะยังคงอยู่ในช่วงวัยทำงาน ซึ่งส่งผลให้ไม่มีเวลามากพอให้กับการดูแลลูกอย่างนั้นเราจึงต้องใช้เวลาที่มีให้เกิดประโยชน์ที่สุดค่ะ    ซึ่งการออนไลน์ก็จะปิดโอกาสให้ลูกของเราได้ไปพบเจอกับสังคมน้อยลง ไม่ได้ออกไปพบปะกับสังภายนอก ในส่วนนนี้เองที่คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องมีส่วนช่วยที่จะพัฒนาการเข้าสังคมของลูกน้อยในส่วนที่หายไปนี่นะคะ  ก็มาลองอ่านสิ่งดีๆที่พวกเราได้รวบรวมไว้ในบทความนี้ได้เลยค่ะ

ปัจจุบันนี้เราจะเห็นได้ว่าพ่อแม่หลายคนไม่มีเวลาที่จะใช้กับลูกได้อย่างเพียงพอ ดังนั้นพ่อแม่จึงจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาที่มีอยู่จำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด หนึ่งในปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่พบบ่อยที่สุด ก็คือการที่ลูกไม่ฟังคำพูดที่เราสอน ซึ่งจริงๆ แล้วอยากให้คุณพ่อคุณแม่ลองกลับมาคิดทวนกันดูก่อนว่า “เราที่เป็นพ่อแม่รับฟังลูกอย่างเพียงพอหรือยัง?”

ยิ่งในช่วงที่ลูกต้องเรียนออนไลน์จากที่บ้าน โอกาสในการพูดคุยกับเพื่อนๆ ลดลงไป แต่ถูกแทนที่ด้วยพ่อแม่ หรือผู้ปกครอง ที่จะเป็น Social Support ให้ลูกในช่วงที่ต้องเรียนออนไลน์ ซึ่งหากเรายังปรับตัวกับการเรียนแบบนี้ไม่ทัน ก็อาจจะทำให้การเรียนออนไลน์ไม่เกิดประสิทธิภาพตามที่มุ่งหวัง วันนี้ก็เลยมีเทคนิคดีๆ มาแชร์ให้คุณพ่อคุณแม่รุ่นใหม่ได้รู้ ว่าควรทำอย่างไร ถ้าอยากให้การเรียนออนไลน์ได้คุณภาพอย่างที่ควร

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@sofatutor
  • การรับฟังอย่างตั้งใจ และการพูดคุยแบบเปิด (Active-Open)

การฟัง และการพูดอาจดูเป็นเรื่องเล็ก แต่การฟังและการพูด คือรากฐานของความสัมพันธ์ และการสร้างความไว้วางใจระหว่างพ่อแม่และลูก หากเราอยากให้ลูกๆ ฟังและปฎิบัติตามสิ่งที่เราสอน ก่อนอื่นเราต้องทำให้ลูกรู้สึกไว้ใจ และกล้าที่จะเข้ามาพูดคุยปรึกษากับเรา การฟังลูกอย่างตั้งใจ จึงเป็นหนึ่งในวิธีที่เราจะสามารถแสดงออกให้ลูกรับรู้ว่าเราเข้าใจและเราพร้อมเสมอที่จะช่วยเหลือลูกๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านอะไร ซึ่งการฟังที่ดีนั้น พ่อแม่ต้องให้ความใส่ใจ ความสำคัญ ความเข้าใจ กับทุกการสื่อสารของลูก ไม่ว่าจะเป็น คำพูด น้ำเสียง สายตา สีหน้า หรือ ท่าทาง การฟังที่ดีนั้นไม่ใช่การฟังลูกไปดูทีวีไป อ่านไลน์เพื่อนไป ล้างจานไป เป็นต้น

ตัวอย่างคำพูดที่พ่อแม่ควรใช้
เพื่อให้โอกาสลูกในการบรรยายอารมณ์ และความรู้สึก โดยการให้ความเข้าใจ เช่น

  • “ขอบคุณนะที่ไว้ใจแม่/พ่อแล้วเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟัง”
  • “แม่/พ่อเข้าใจนะว่าเรื่องที่ลูกเจออยู่ตอนนี้มันน่าโมโหขนาดไหน”

และการใช้คำถามแบบเปิด เพื่อให้ลูกๆ นั้นสามารถเล่าเรื่องราวของเขาได้มากขึ้น เช่น

  • “แล้วตอนนั้นลูกทำไงต่อหรอ”
  • “ลูกคิดว่ามีอะไรที่พ่อ/แม่ช่วยลูกได้ตอนนี้บ้าง”
  • “ลูกตั้งใจจะทำอะไรต่อต่อจากนี้หรอ”
  • “ลูกเจอปัญหานี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่หรอ”
  • “มีใครรู้เรื่องนี้บ้างนอกจากพ่อ/แม่?”

ตัวอย่างคำพูดที่ควรระวัง!!!

  • “เรื่องเล็กๆแค่นี้ ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องคิด”
  • “หยุดคิดได้แล้ว”
  • “ไม่เข้าใจ ร้องไห้ทำไม”
  • “ไม่จริง”
  • “ลูกต้องห้ามคิดแบบนั้น”

เพราะคำพูดเหล่านี้ คือ การปฏิเสธความรู้สึกและประสบการณ์ของเด็ก ซึ่งจะส่งผลให้เด็กไม่อยากเข้าหาหรือฟังคำสอนจากเรา

นอกจากนี้ การรับฟังอย่างตั้งใจและการพูดคุยแบบเปิดนั้น ยังสามารถปลูกฝังให้เด็กไม่เก็บกด และยังป้องกันไม่ให้เด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าวและรุนแรงได้อีกด้วย นอกจากนี้การฟังอย่าง Active และการพูดคุยแบบเปิด ยังสามารถทำให้อีก 2 วิธีที่เหลือนั้นได้ผลยิ่งขึ้นตามไปด้วย

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@anniespratt
  • การสร้างวินัยไปด้วยกัน (Routine)

เมื่อลูกต้องเรียนออนไลน์จากที่บ้าน สิ่งแรกที่พ่อแม่สามารถทำได้ ก็คือการสร้างสิ่งแวดล้อม (Environment) ในห้องที่ลูกใช้เรียน Online เพื่อให้ลูกมีอารมณ์ในการเรียนให้ได้มากที่สุด หนึ่งในวิธีนั้นคือการสร้างวินัย หรือ กิจวัตร (Routine) ประจำวันในแต่ละสัปดาห์นั่นเอง

งานวิจัยหลายฉบับได้พิสูจน์มาแล้วว่าเด็กๆ จะทำงานหรือกิจกรรมใดๆ ได้ดีเมื่อมีวินัยหรือ เป็นกิจวัตรที่สามารถทำตามได้ (Routine) และโอกาสที่เด็กๆ จะทำตาม Routine นั้นจะมีอัตราสูงขึ้น หากเด็กมีส่วนร่วมในการสร้าง Routine หรือกิจวัตรนั้น จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้การคุยแบบเปิดนั้นสำคัญมาก เพราะคุณพ่อคุณแม่จะได้ตกลงกับลูกอย่างเปิดใจว่า เวลาไหนคือเวลาที่ลูกจะไม่เล่นโทรศัพท์ ไม่เล่นเกมส์ ไม่ดู YouTube หรือดูทีวี หากลูกเชื่อว่าข้อกำหนดต่างๆ นั้นไม่เกินความสามารถของเขา โอกาสที่ลูกจะทำตามกฎที่เราร่วมกันสร้างก็จะสูงขึ้น

อีกสิ่งที่ควรมีในกิจวัตร คือการจัดสรรเวลา ประมาณ 10 – 15 นาที สำหรับการเตรียมความพร้อมก่อนเวลาเรียนออนไลน์ เช่น การตรวจหรือเตรียมอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ หูฟัง ที่ชาร์จ รวมไปถึงการปิดทีวี การเก็บโทรศัพท์มือถือ และการเข้าห้องน้ำ ก่อนเริ่มเรียน

สุดท้าย คุณพ่อคุณแม่ต้องไม่ลืมที่จะอัพเดท กิจวัตร หรือ Routine นั้นกับลูกทุกอาทิตย์ โดยลูกควรมีส่วนร่วมในการออกความคิดเห็นหากมีอะไรยากไปหรือง่ายไป ซึ่งวิธีนี้เหมาะสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่ค่อยมี Quality time หรือช่วงเวลาคุณภาพกับลูกเพียงพอ เพราะการสร้าง Routine เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ดีที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำร่วมกับลูกได้โดยใช้เวลาไม่มาก และไม่กระทบกับกิจกรรมอื่นของครอบครัว

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@sofatutor
  • การดูแลการเรียนของลูกอย่างมีขอบเขต (Boundary)

เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านให้ความสำคัญกับการเรียนของลูก แต่สิ่งที่เราทุกคนต้องระวังคือการไม่ฝ่าขอบเขตของลูกจนทำให้ลูกเกิดความรู้สึกว่ากำลังถูกจับผิด ความรู้สึกของการถูกจับผิดหลายครั้งอาจทำให้เด็กรู้สึกเหมือนกำลังถูกทำโทษอยู่ เด็กบางคนอาจจะมีความรู้สึกกลัว เช่น การกลัวว่าพ่อแม่จะไม่ภูมิใจ หรือกลัวว่าตัวเองจะไม่ดีพอในสายตาพ่อแม่ เมื่อความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นกับการเรียนบ่อยๆ ความพยายาม และแรงจูงใจในการเรียนของเด็กอาจจะลดลง ซึ่งย่อมส่งผลต่อผลการเรียนของเด็กตามไปด้วย

ตัวอย่างคำพูดที่ควรระวัง!!!

  • “ลูกคนอื่นไม่เห็นขี้เกียจแบบนี้”
  • “ทำไมไม่ตั้งใจเรียนเหมือนเพื่อนคนนี้”
  • “ก็เล่นแต่เกมส์อ่ะสิ คะแนนถึงเป็นแบบนี้”
  • “ถ้าเพื่อนทำได้ดีกว่าเราก็แปลว่าเราพยายามไม่พอ”

ถึงแม้ว่าทุกการกระทำที่พ่อแม่ทำจะมาจากความเป็นห่วงลูก อยากให้ลูกได้ดี แต่ก็ควรต้องรอบคอบคำนึงถึงมุมมองของลูกด้วยเช่นกัน เพราะมีเพียงเส้นบางๆ ที่กั้นระหว่าง การที่ลูกจะมองว่า สิ่งที่เราทำ “คือความหวังดี” หรือ “คือการจับผิด” ซึ่งขึ้นอยู่กับทัศนคติ (Attitude) และวิธีการสื่อสารของคุณพ่อคุณแม่นั่นเอง

มาถึงในส่วนท้ายของบทความกันแล้วนะคะเป็นยังไงกันบ้างคะ จากบทความข้างต้นที่พวกเรา DooDiDo ได้นำเสนอ 3 เทคนิคพิชิตการเรียนออนไลน์ฉบับพ่อแม่รุ่นใหม่ให้กับเพื่อนๆ ได้อ่านกันก็จะได้เห็นว่ามีประโยชน์อย่างมากนะคะสำหรับคุณพ่อคุณแม่ก็คือลูกของเราเรียนออนไลน์หรือคุณพ่อคุณแม่ทำงานออนไลน์แต่ปัญหาที่เรามักจะพบเจอก็คือลูกเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์และพฤติกรรมบางอย่างไปนะคะ  ไม่ว่าจะเป็นการไม่ยอมฟังในสิ่งที่เราสอนหรือเริ่มต่อต้านบางอย่างซึ่งการเรียนออนไลน์เอก็จะปิดโอกาสลูกน้อยในการออกไปพบเจอกับสังคมหรือสิ่งแวดล้อมภายนอก โดยผู้ปกครองจะต้องเป็นคนที่คอยสนับสนุนช่วงเวลาต่างๆที่เขาได้เสียไปนะคะถึงแม้ว่าจะมีเวลาไม่มากแต่การสละเวลาเล็กๆน้อยๆในแต่ละวันก็จะทำให้คุณและลูกของคุณได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นปลาก็จะช่วยทำให้การเรียนออนไลน์เนี่ยมีคุณภาพมากยิ่งขึ้นด้วยนะคะก็ว่าเพื่อนๆ จะสละเวลาซักประมาณ 1-2 ชั่วโมงให้กับลูกน้อยของคุณนะคะขอบคุณค่ะ

ขอบคุณแหล่งที่มา : www.phyathai.com