“เมล็ดบัว” มีส่วนช่วยในการนอนหลับให้สนิทได้ดี

WM

“เมล็ดบัว” กับ 12 ประโยชน์ ยิ่งทานยิ่งดีต่อสุขภาพ

สำหรับ “เมล็ดบัว” ธัญพืที่หาทานยาก แต่ต้องบอกเลยว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากค่ะ ในเมล็ดบัวนั้นมีประโยชน์หลายประการ ช่วยให้อิ่มแบบไขมันต่ำ แต่นอกจากจะเป็นเมนูลดความอ้วนแล้ว ยังมีสรรพคุณช่วยป้องกันโรคต่างๆ อย่างไม่น่าเชื่อเลยค่ะ ซึ่งวันนี้เรามีคุณประโยชน์ที่ได้จากการทานเมล็ดบัวมาฝากสำหรับคนรักสุขภาพด้วยค่ะ

บัวหลวง” นั่นเอง โดยทั่วไปจะมีลักษณะเป็นเม็ดกลม มีเนื้อด้านในเป็นสีขาวอมเหลืองนวล มีรสหวานมันปนฝาดเล็กน้อย และถ้าดิบมากก็จะออกรสหวานน้อยลงไปหรือออกรสจืดไปเลย เพราะความหวานจากน้ำตาลในเม็ดบัวจะเปลี่ยนเป็นแป้ง เหมือนการย่อยในร่างกายนั่นเอง ที่เป็นอย่างนั้นก็เพื่อที่บัวหลวงหนึ่งฝักจะเตรียมไว้เพื่อเลี้ยงต้นอ่อนที่เป็นไส้ สีออกเขียวอ่อนๆ ที่อยู่กลางเมล็ด เราเรียกมันว่า “ดีบัว” ซึ่งจะเจริญไปเป็นต้นของบัวหลวงต่อไป มาดูประโยชน์ทั้ง 12 ข้อของเม็ดบัวกันค่ะ

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/41330-41330/

12 ประโยชน์ที่ได้จากเมล็ดบัว

1.ดีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน  นักโภชนาการเผยว่า เมล็ดบัวมีแคลอรี่ต่ำและมีปริมาณเส้นใยอาหารสูง มีโอกาสลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนที่เป็นโรคเบาหวานควรบริโภคเมล็ดบัวอย่างน้อยสามครั้งต่อสัปดาห์ หน้าที่ของเมล็ดบัวยังสามารถเป็นอาหารว่างได้ จะทำให้คุณจะรู้สึกหิวน้อยลงตลอดทั้งวัน

2.ดีสำหรับคนนอนไม่หลับ โรคนอนไม่หลับ และหยุดหายใจขณะหลับได้กลายเป็นความผิดปกติของการนอนหลับทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นความเครียดยังก่อให้เกิดรูปแบบการนอนหลับที่ผิดปกติหรือนอนไม่หลับนั่นเอง นักโภชนาการแนะนำให้บริโภคเมล็ดบัวเพราะสามารถรักษาจิตใจที่เครียด สามารถต่อสู้กับความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นเมล็ดบัวจึงมีศักยภาพในการส่งเสริมการนอนหลับให้สนิท

3.ต่อต้านริ้วรอย เมล็ดบัวเป็นแหล่งพลังงานของเอนไซม์ที่ช่วยส่งเสริมคอลลาเจน และเสริมระดับโปรตีนที่ไม่เพียงพอ ซึ่งจำเป็นสำหรับการบำรุงผิวให้อ่อนเยาว์ เมื่อบริโภคเป็นประจำสารอาหารที่พบในเมล็ดบัวจะเริ่มฟื้นเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ซึ่งจะนำไปสู่ผิวที่เนียนนุ่ม นอกจากนี้เมล็ดบัวยังมีวิตามินต่างๆ ที่ช่วยบรรเทาการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้

4.ดีต่อกระเพาะอาหาร การบริโภคอาหารแปรรูปเป็นประจำจะส่งผลต่อสุขภาพของกระเพาะอาหาร เมล็ดบัวคั่วสามารถให้วิตามินและแร่ธาตุที่ดี สามารถรักษาอาการท้องเสีย อาการอาเจียนและอาหารไม่ย่อยได้ และยังสามารถเสริมสร้างระบบย่อยอาหารของคุณได้

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/my_walking_diary-16369448/

5.ดีต่อช่องปาก เลือดออกเหงือกเป็นหนึ่งในปัญหาในช่องปากที่พบมากที่สุด ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเนื่องจากความอ่อนแอของเหงือก หรือการแปรงฟันที่รุนแรง อย่างไรก็ตามการทานเมล็ดบัวสามารถช่วยเสริมวิตามินให้ได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น หากมีปัญหาสุขภาพช่องปากควรนัดพบทันตแพทย์ จะดีที่สุด

6.ให้พลังงานได้ทันที ในเมล็ดบัวสามารถทำหน้าที่เป็นตัวเร่งพลังงานได้ทันที เป็นแหล่งธรรมชาติเพื่อรับโพแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัสและโปรตีน เมล็ดบัวนั้นกินได้ง่ายสุด ๆ และสามารถเป็นทางเลือกของว่างเพื่อสุขภาพได้เช่นกัน

7.รักษาการอักเสบและการติดเชื้อ เมล็ดบัวมีคุณสมบัติในการรักษาและผ่อนคลาย สามารถรักษาแผลและหยุดการแพร่กระจายของการติดเชื้อได้ นั่นคือเหตุผลที่พวกเขายังคงเป็นส่วนหนึ่งของการแพทย์แผนจีนมานานหลายทศวรรษ

8.สำหรับแผลในปาก นักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าเมล็ดบัวมีคุณสมบัติต้านการอักเสบมากมาย ที่สามารถรักษาอาการแผลในปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ

9.สำหรับความอยากอาหารที่ผิดปกติ ความอยากอาหารที่ผิดปกติหรือไม่มีความอยากอาหารเป็นเรื่องธรรมดาในเด็ก คุณสามารถแก้ปัญหาได้โดยการรวมเมล็ดบัวเข้ากับอาหารของพวกเขา ในเมล็ดบัวมีศักยภาพที่จะทำให้ความอยากอาหารหายไป นักโภชนาการยังเน้นในการรักษาปัญหาความอยากอาหารในเด็กผ่านการทานเมล็ดบัวอีกด้วย

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/41330-41330/

10.บรรเทาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เอนไซม์ที่พบในเมล็ดบัวมีความสามารถบรรเทาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ และช่วยให้ถ่ายปัสสาวะได้อย่างดี

11.รักษาความดันโลหิต ในเมล็ดบัวจะเต็มไปด้วยแอลคาลอยด์ ที่ช่วยขยายหลอดเลือด และบรรเทาความดันโลหิตที่สูงขึ้น

12.ดีต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด นักโภชนาการแนะนำให้บริโภคอาหารที่มีโซเดียม แมกนีเซียม และแมงกานีส แก่ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ และในเมล็ดบัวเป็น 1 ในอาหารที่จะดีต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด เพราะมีแร่ธาตุดังกล่าวอยู่

สรรพคุณดีงามมากๆ ค่ะ สำหรับเม็ดบัวที่ DooDiDo นำมาฝากในวันนี้ ถึงแม้จะมีรสขมแต่มีประโยชน์ต่อหัวใจ แถมยังอุดมไปด้วยวิตามินและมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงอีกด้วยนะคะ และที่สำคัญยังมีราคาถูก สามารถซื้อทานได้อย่างสบายกระเป๋าสตังค์ไปอีกค่ะ

ขอบคุณแหล่งที่มา : https://health.campus-star.com, https://medium.com