อาการใกล้คลอดที่แม่ต้องสังเกตมีอะไรบ้าง มาดูกัน!

WM

ถ้าท้องแข็งจนเจ็บและเจ็บถี่มากขึ้นเรื่อย ๆ ให้คุณแม่รีบไปโรงพยาบาลทันที ถึงจะยังไม่ถึงกำหนดคลอดก็ตาม

เชื่อว่าคุณแม่หลายคนคงจะเป็นกังวลอยู่ไม่น้อยเมื่อเข้าสู่ระยะสุดท้ายของการตั้งครรภ์ คุณแม่อาจสงสัยว่า จะรู้ได้ยังไงว่าใกล้คลอด ทั้งนี้ให้คุณแม่คอยสังเกตและเฝ้าดู อาการใกล้คลอด ต่างๆ ที่บ่งบอกว่า คุณแม่ใกล้จะได้พบหน้าเจ้าตัวน้อยที่เฝ้ารอแล้ว อาการใกล้คลอด เป็นกลไกธรรมชาติของร่างกาย ที่ทำให้คุณแม่เริ่มรู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้น เพื่อจะได้เตรียมพร้อมสำหรับการคลอดที่จะมาถึงในไม่ช้า

โดยสัญญาณใกล้คลอด ที่คุณแม่ต้องสังเกตอาการเจ็บท้องคลอด หรือที่เรียกว่า เจ็บท้องจริง ในคุณแม่ท้องแรกมักจะเจ็บครรภ์นานประมาณ 12-14 ชั่วโมง (แต่ถ้าเป็นท้องต่อไปจะคลอดง่ายกว่าท้องแรก) จะเจ็บถี่ขึ้นทุกๆ 2-4 นาที เจ็บนานครั้งละ 60-90 วินาที เมื่อใกล้คลอดจะมีอาการเจ็บถี่ขึ้น แม้ว่าคุณแม่จะเปลี่ยนท่า เปลี่ยนอิริยาบถ หรือนอนพักอาการก็ไม่ดีขึ้น

WM
ขอบคุณภาพจาก : https://pixabay.com/th/users/fotorech-5554393/

1. ท้องลด
คุณแม่จะท้องลด เพราะลูกจะปรับตัวให้อยู่ในท่าพร้อมที่จะคลอด โดยเคลื่อนศีรษะตัวเองลงต่ำไปในอุ้งเชิงกราน หรือในบางรายอาจจะเอาก้นลง ทำให้มดลูกส่วนล่างขยายตัว เมื่อดูจากภายนอกจะมองเห็นว่าท้องของคุณแม่ลดต่ำลงมา คุณแม่ท้องแรก ท้องจะลดต่ำลงมาประมาณกลางเดือนที่ 8 หรือ 2-3 สัปดาห์ก่อนคลอด ส่วนในคุณแม่รายที่เคยผ่านการตั้งครรภ์มาแล้ว อาการท้องลดจะเกิดก่อนการเจ็บคลอดไม่นาน อาการท้องลดจะทำให้คุณแม่คลายแน่นหน้าอก หายใจได้สะดวกขึ้น แต่การที่ศีรษะหรือก้นของลูกอยู่ต่ำลงไปในอุ้งเชิงกราน จะทำให้คุณแม่รู้สึกหน่วงๆ บริเวณหัวหน่าว เหมือนเด็กจะไหลออกมา และลูกจะไปเบียดบริเวณกระเพราะปัสสาวะ และกดบริเวณอุ้งเชิงกรานของคุณแม่ ทำให้คุณแม่เก็บปัสสาวะได้น้อยลง ต้องเข้าห้องน้ำปัสสาวะบ่อยขึ้น

2. ท้องแข็ง
ส่วนใหญ่จะเป็นในช่วงเดือนที่ 8 ของการตั้งครรภ์ เป็นช่วงที่ลูกในท้องดิ้นมากที่สุด ทำให้มดลูกบีบตัวบ่อยขึ้นจึงเกิดอาการท้องแข็ง บางครั้งอาการท้องแข็งก็ไม่ใช่อาการของคุณแม่ใกล้คลอด แต่เกิดจากการที่คุณแม่รับประทานอาหารจนอิ่มมากเกินไป
ถ้าคุณแม่มีความรู้สึกว่ามดลูกบีบตัวเบาๆ ช้าๆ แข็งตัวอยู่พอสมควร แล้วคลายตัวช้าๆ เป็นวันละหลายครั้ง แต่ไม่เกิน 6-10 ครั้ง ซึ่งจะเกิดจากมดลูกบีบตัว อาการดังกล่าวไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าแข็งจนเจ็บและเจ็บถี่มากขึ้นเรื่อยๆ ให้คุณแม่รีบไปโรงพยาบาลทันที ถึงจะยังไม่ถึงกำหนดคลอดก็ตาม

3. เจ็บท้องเตือน
คุณแม่จะมีความรู้สึกว่าท้องแข็งเกร็ง เกิดจากการที่มดลูกบีบรัดตัว จะรู้สึกแน่น อึดอัด แต่ไม่เจ็บปวด การปวดท้องเตือนนั้นจะปวดแบบตึงๆ เจ็บท้องไม่สม่ำเสมอ การเจ็บท้องเตือนจะมีอาการคล้ายการเจ็บท้องคลอดแต่จะไม่เจ็บเท่า จะเจ็บครั้งละประมาณ 25 วินาที มักจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 เดือนก่อนคลอด และจะปวดถี่หรือรุนแรงมากขึ้นเมื่อใกล้คลอด

4. มูกเลือดออกทางช่องคลอด
ร่างกายของคุณแม่จะสร้างมูกขึ้นมาเพื่อปิดปากมดลูกไว้ กันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่มดลูกระหว่างการตั้งครรภ์ เมื่อถึงเวลาคลอด ปากมดลูกของคุณแม่จะบางลงและเปิดขยายตัวมากขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอดที่จะมาถึง มูกที่อุดอยู่คือสิ่งแรกที่จะต้องเปิดออกก่อน โดยไหลออกมาเองทางช่องคลอด ซึ่งในขณะที่มดลูกขยายตัว อาจเกิดการแตกของเส้นเลือดเล็กๆ บริเวณปากมดลูก ทำให้มีเลือดไหลออกมาผสมกับมูก คุณแม่อาจจะตกใจ กลัวแท้งลูก อาการเช่นนี้เป็น อาการใกล้คลอด ของคุณแม่ ให้คุณแม่เตรียมกระเป๋าไปคลอดได้เลย

WM
ขอบคุณภาพจาก : https://www.freepik.com/dcstudio

5. น้ำเดิน
น้ำเดิน หรือ ถุงน้ำคร่ำแตก จะมีลักษณะเป็นน้ำใสๆ คล้ายปัสสาวะไหลออกมาทางช่องคลอด ไม่มีกลิ่น อาจจะขุ่นเล็กน้อย เป็นอาการที่แสดงว่า ถึงเวลาที่คุณแม่จะคลอดแล้ว เมื่อถุงน้ำคร่ำแตก มดลูกจะหดตัวเล็กลง บีบหัวเด็กให้เคลื่อนต่ำลงสู่อุ้งเชิงกรานเพื่อจะคลอด หากคุณแม่มีน้ำเดินช่วงเริ่มต้นของการเจ็บท้องคลอด คุณแม่อาจมีความเสี่ยงในการติดเชื้อได้

6. เจ็บท้องคลอด
การเจ็บท้องคลอดจะเริ่มที่หลัง แล้วปวดร้าวมาถึงด้านหน้าบริเวณหัวหน่าวและท้องน้อย บางครั้งจะปวดร้าวลงขา มีความรู้สึกปวดหน่วงๆ เหมือนปวดท้องเวลามีประจำเดือน หรืออาจจะปวดคล้ายปวดท้องอึ คุณแม่ที่เคยเจ็บท้องเตือน เคยปวดเล็กปวดน้อย ก็จะกลายเป็นปวดแรงขึ้นเป็นจังหวะ ในระยะแรกมดลูกจะหดรัดตัวนานครั้งละ 30-60 วินาที ทุก 10-15 นาที แล้วจะถี่ขึ้นเป็นทุก 5 นาที

ดังนั้นคุณแม่ที่ตั้งครรภ์และใกล้ถึงเวลาคลอดควรหมั่นสังเกตอาการให้ดีเพื่อที่จะได้เตรียมตัวและเตรียมความพร้อมสำหรับการคลอดลูกน้อยและควรรีบไปพบหมอทันทีถ้ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้น DooDiDo เพราะการเจ็บท้องคลอดของคุณแม่แต่ละท่านนั้นจะมีอาการแตกต่างกันออกไป เมื่อมีอาการเจ็บท้อง คุณแม่อาจโทรหาคุณหมอสูติที่ฝากครรภ์หรือโรงพยาบาลเพื่อให้ประเมินว่า ถึงเวลาที่คุณแม่ควรไปโรงพยาบาลแล้วหรือ

ขอบคุณแหล่งที่มา : www.amarinbabyandkids.com