วิธีที่จะช่วยให้สาวๆ งดทานของหวานได้แบบไม่ทรมานใจ

WM

“น้ำตาล” ที่มากเกินความจำเป็นจะถูกเปลี่ยนให้เป็นไขมันสะสม ซึ่งเป็นสาเหตุของการก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา 

ถ้าพูดถึงผู้หญิงแล้วล่ะก็สิ่งที่ตามหลังมาจากคำนี้คืออะไรล่ะคะ หมูกะทะ ขนม หรือว่าของหวาน แน่นอนว่ายังไงก็ไม่พ้นของหวานแน่นอน ด้วยรสชาติหวานๆ หอมๆ ที่ต้องตบท้ายหลังมื้ออาหารทุกๆ มื้อแล้วล่ะก็ สาวๆ ส่วนใหญ่แล้วก็คงไม่พลาดหรอกค่ะ แต่ว่านะคะหลายๆ คนต่างก็รู้ตัวแล้ว หรือจะรู้ตัวมาตลอดเลยก็ได้ว่าของหวานนั้นมันเป็นสิ่งที่ควรงดบ้าง ของหวานไม่ใช่สิ่งที่เราอยากกินเมื่อไหร่ก็กินได้และแน่นอนว่าต่อให้ทำได้ก็คงไม่ใช่เรื่องดีต่อสุขภาพเป็นแน่ล่ะค่ะ

เราต่างทราบกันดีว่าการทานอาหารที่มีส่วนผสมของ ‘น้ำตาล’ อยู่เป็นจำนวนมากนั้นไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย เพราะน้ำตาลที่มากเกินความจำเป็นจะถูกเปลี่ยนให้เป็นไขมันสะสม ซึ่งเป็นสาเหตุของการก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็น โรคอ้วน โรคหัวใจ หรือโรคเบาหวาน นอกจากนี้ยังเป็นศัตรูของความงามทำให้ผิวของเราแห้งเหี่ยวก่อนวัยอันควรอีกด้วย รู้อยู่แก่ใจว่า ลดหวาน ช่วยลดโรค แต่เมื่อร่างกายเสพติดความหวานไปแล้ว จะแก้ยังไงกันดี วันนี้เรามีคำตอบค่ะ

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@mruqi

1. ลดหวานแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่หักดิบ

เริ่มด้วยการกินแบบลดหวาน โดยลดปริมาณน้ำตาลที่เติมลงในอาหาร และลดการกินขนมหวานให้น้อยลง แต่ไม่แนะนำให้หักดิบด้วยการเลิกกินอาหารหวานหรือน้ำตาลทั้งหมดในทีเดียว เพราะร่างกายจะไม่ยอมรับและจะทำได้เพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น แถมไม่นานก็จะกลับมามีพฤติกรรมการกินของหวานเหมือนเดิมและอาจมากกว่าเดิมอีกด้วย!

เพราะการเลิกกินของหวานทั้งหมดแบบหักดิบ ร่างกายจะมีอาการขาดน้ำตาล เช่น หน้ามืด เวียนศีรษะ อ่อนแรง คลื่นไส้ เป็นต้น ดังนั้นแทนที่จะเลิกกินหวานในทันที ให้กินแบบลดหวานลงทีละน้อยๆ จะดีกว่า ให้เวลากับตัวเองสัก 1-2 เดือน เพื่อให้ชินกับความหวานที่ลดลง ลิ้นก็จะชินกับอาหารที่ไม่หวาน ร่างกายปรับสมดุลได้ดี ที่นี้ก็ลดหวาน ลดโรคได้อย่างถาวรแล้ว

2. ลดการซื้อขนมหวาน หรือเครื่องดื่มน้ำตาลสูง

การติดนิสัยชอบซื้อเครื่องดื่มหรือขนมหวาน มาติดบ้านเป็นประจำ ทำให้เราตัดใจจากของหวานได้ยาก ดังนั้นหากตุนขนมหวานให้น้อยลงได้ เมื่อเวลาอยากกินหวาน แต่ไม่มีอยู่ใกล้ตัวก็จะช่วยลดปริมาณการกินลงได้ ที่สำคัญก่อนเลือกซื้อของกินต่างๆ ควรกินแบบลดหวาน โดยอ่านฉลากโภชนาการเพื่อเปรียบเทียบปริมาณของน้ำตาลที่มีอยู่ในอาหาร เครื่องดื่ม หรือขนมด้วย

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@enginakyurt

3. น้ำเปล่าลดความอยากของหวาน

ดื่มน้ำเปล่าให้มากๆ จิบบ่อยๆ พยายามอย่าให้ร่างกายขาดน้ำ เพราะหากร่างกายขาดน้ำจะทำให้รู้สึกหิวและเพิ่มความอยากของหวานมากขึ้น การดื่มน้ำเปล่าประมาณ 1 แก้ว เมื่อรู้สึกอยากของหวานจะช่วยให้เราลดความอยากลงได้

4. กินผักใบเขียว ลดอาการโหยของหวาน

การกินแบบลดหวานโดยให้ร่างกายไม่โหยน้ำตาลมากเกินไป แนะนำให้กินผักก้าน ผักใบเขียวให้หลากหลายชนิดในหนึ่งวัน เช่น คะน้า กวางตุ้ง บร็อคโคลี่ ฯลฯ เนื่องจากเป็นอาหารที่แคลอรี่ต่ำ มีใยอาหารสูง และทำให้การดูดซึมน้ำตาลช้าลง อีกทั้งใยอาหารยังช่วยดูดซับน้ำตาลไม่ให้เข้าสู่กระแสเลือดเร็วเกินไป ทำให้ร่างกายสามารถดึงน้ำตาลไปใช้ได้พอดีอีกด้วย

5. กินอาหารให้หลากหลาย ก็ช่วยลดอาการอยากหวานได้

การกินอาหารที่หลากหลายในหนึ่งมื้ออาหาร นอกจากจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนแล้ว ยังทำให้ร่างกายอิ่มนานขึ้น ช่วยลดอาการอยากของหวาน และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้อีกด้วย โดยในแต่ละมื้อควรมีทั้งข้าว ไขมันและโปรตีน เนื่องจากโปรตีนและไขมันจะช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่และทำให้รู้สึกอิ่มได้นานกว่าการกินข้าวหรือแป้ง ที่มีแต่คาร์โบไฮเดรตอย่างเดียว

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@realkayls

6. หากิจกรรมดึงความสนใจออกจากของหวาน

หากติดหวานมากๆ ไม่รู้จะแก้ยังไงเวลาโหยน้ำตาล ให้ลองหากิจกรรมทำดู เช่น ออกกำลังกาย ปลูกต้นไม้หรือทำงานบ้าน เพราะเมื่อสมองสั่งการว่าอยากกินอะไรสักอย่าง ความรู้สึกนั้นจะอยู่นานประมาณ 20-30 นาที หากเราเบี่ยงเบนความสนใจไปทำกิจกรรมอย่างอื่นก็อาจจะช่วยให้ความอยากของหวานลดลงได้ นอกจากนี้การออกกำลังกายยังมีส่วนช่วยในการเพิ่มระดับฮอร์โมนเอนโดรฟินที่ทำให้อารมณ์ดี ซึ่งเป็นฮอร์โมนประเภทเดียวกันกับตอนที่ร่างกายหลั่งออกมาเมื่อได้กินของหวาน เพราะหนึ่งในเหตุผลของคนที่ชอบความหวานคือรู้สึกอารมณ์ดีเมื่อได้รับน้ำตาลนั่นเอง

7. ลดหวานได้ง่ายๆ ด้วยการจดบันทึก

การกินแบบลดหวานด้วยการจดบันทึกอาหารที่กินเข้าไป จะช่วยให้เราเห็นรูปแบบของอาหารที่เรากินในแต่ละวันได้ชัดเจนขึ้น สามารถประเมินดูได้ว่าเรากินอาหาร เครื่องดื่ม หรือขนมใดบ้างที่มีความหวานนำ จดบันทึกความหิว ความอยากอาหารและช่วงเวลาที่กินอาหาร การจดบันทึกการกินนี้จะช่วยให้เห็นว่าเรามีพฤติกรรมการกินอย่างไรและช่วยให้เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราได้ง่ายขึ้นโดยลดข้ออ้างต่างๆ ได้

สำหรับสาวๆ คนไหนที่ทาสรักขนมหวานอย่างสุดหัวใจแล้ว หลังจากที่อ่านจบก็เลิกท้อแท้ หรือหมดหวังว่าจะเลิกทานของหวานไม่ได้แล้วล่ะค่ะ เพราะด้วยวิธีการดีๆ ที่ DooDiDo นำมาฝากสาวๆ ในวันนี้นั้น ถ้าหากทุกคนลองนำไปปรับใช้กับตัวเองแล้วล่ะก็สาวๆ ก็จะลด ละ เลิก ของหวานไปได้ในซักวัน แต่อย่างไรก็ตามหากสาวๆ เลิกเสพติดขนมหวานได้แล้วล่ะก็เชื่อได้เลยว่าสุขภาพของทุกๆคนก็จะดีขึ้นตามไปด้วยอย่างแน่นอน และที่สำคัญทุกคนอย่าลืมที่จะดื่มน้ำเยอะๆ พักผ่อนให้มากๆ และคอยหาเวลาออกกำลังกายกันด้วยนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นของทุกคน

ขอบคุณแหล่งที่มา: www.officemate.co.th