ลองมาดูสาเหตุไหนบ้าง ที่ทำให้ผู้หญิงมีบุตรยาก!!

WM

อยากมีลูกต้องดู! พฤติกรรมที่ยิ่งทำยิ่งมีบุตรยากที่ต้องระวัง

มีใครที่อยากมีลูกแล้วไม่ได้มีอย่างที่คิดไว้มั้ยล่ะคะ หรือก็คือมีลูกยากนั่นเอง ไม่ว่าจะทำอย่างไรแล้วเจ้าตัวน้อยก็ไม่มาหาซักที ทุกคนลองดูนี่สิคะ “พฤติกรรมที่ยิ่งทำยิ่งมีบุตรยากที่ต้องระวัง” ที่เราอยากจะนำมาฝากทุกคนในวันนี้ อยากให้ทุกคนได้รู้ถึงพฤติกรรมต่างๆ ที่ส่งผลให้เจ้าตัวน้อยนั้นไม่มาหาเราซักที มาบอกทุกคนค่ะ

เผื่อว่าใครที่อยากมีเจ้าตัวน้อยแล้ว ขอหลวงพ่อวัดไหนที่ใครว่าแรง แล้วเค้าก็ไม่มาหาซักที บนบานไปก็เยอะที่ วันนี้เราลองมาดูไปพร้อมๆ กันเถอะค่ะว่าพอจะมีสาเหตุไหนบ้างที่เราพลาดไป รู้หรือไม่? การใช้ชีวิตที่เร่งรีบ ภาวะความเครียดจากการทำงาน การพักผ่อนน้อย รวมถึงการรับประทานอาหารไม่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีบุตรยาก!

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@frederickjmedina

1. ทานอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ

มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Frontier in Public Health เมื่อปี 2018 ศึกษาถึงผลของการทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการที่จะส่งผลต่อโอกาสในการตั้งครรภ์ที่เพิ่มขึ้น (Influence of Diet on Fertility) โดย “โปรตีน” เป็นสารอาหารหลักที่ขาดไม่ได้ ที่ช่วยบำรุงเซลล์ไข่ ช่วยให้ไข่ตกปกติ และสำหรับคนที่ทำเด็กหลอดแก้ว การทานโปรตีนเพิ่มขึ้นช่วยเพิ่มอัตราความสำเสร็จในการตั้งครรภ์อีกด้วย

ที่สำคัญต้องเลือกทานโปรตีนจากแหล่งที่ให้โปรตีนชั้นดี ให้โปรตีนสูง และปลอดภัย คนบำรุงเตรียมท้องควรเลือกทานโปรตีนจากพืช (Plant-Based Protein)  โดยงานวิจัยศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่ทาน โปรตีนจากพืช ไขมันดี และวิตามินแร่ธาตุครบถ้วนมีความเสี่ยงเรื่องภาวะไม่ตกไข่ลดลงถึง 66% ซึ่งผู้หญิงวางแผนท้องควรเลือกทานอาหารให้ได้ “สารอาหาร” ไม่ใช่จะทานอะไรก็ได้ แต่ต้องทานให้ครบ 5 หมู่และเลือกแหล่งสารอาหารที่ดี

2. การทานของหวาน

ไม่ว่าจะเป็นน้ำหวาน น้ำอัดลม ชานมไข่มุก ขนมหวาน เบเกอรี่ต่างๆ รู้หรือไม่? ว่าร่างกายเราไม่จำเป็นต้องได้รับน้ำตาลเพิ่มเลยในแต่ละวัน การที่เรากินแป้ง กินข้าว หรือผลไม้เราก็ได้รับน้ำตาลอยู่แล้วเพราะร่างกายจะเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตเป็นกลูโคสแล้วดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ซึ่ง “น้ำตาลคือภัยร้ายที่สุด” มันคืออนุมูลอิสระที่จะไปทำลายเซลล์ ทำให้แก่ ทำให้เซลล์ไข่เสื่อม และด้อยคุณภาพ การมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงจะ “กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน” ซึ่งเป็นสาเหตุในการเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคถุงน้ำในรังไข่หลายใบ หรือ PCOS หากเกิดภาวะดื้ออินซูลินซึ่งจะส่งผลให้ไข่ไม่ตกเรื้อรัง ไข่ใบเล็ก ด้อยคุณภาพ

3. ดื่มชา กาแฟ เป็นประจำ

มีงานวิจัยศึกษาพบว่าการดื่มคาเฟอีนมากกว่า 250 mg ต่อวันส่งผลต่อการมีบุตรยากเพิ่มขึ้น 45% ซึ่งกาแฟหนึ่งแก้วมีปริมาณคาเฟอีนประมาณ 250-300 mg ดังนั้นหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ติดกาแฟและเลี่ยงการดื่มไม่ได้ ควรดื่มกาแฟเพียงวันละ 1 แก้วเท่านั้น

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@kazuend

4. ดื่มแอลกอฮอล์

หากอยากท้องควรเลิกดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น ไวน์ เบียร์ หรือ เหล้า จากงานวิจัยศึกษาพบว่า การดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า 2 แก้วต่อวันส่งผลต่อการมีบุตรยากเพิ่มขึ้น 60%

5. ไม่ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเป็นการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ใน้เกณฑ์ปกติ ไม่อ้วน หรือ ผอมเกินไป ช่วยให้เลือดไหลเวียน ฮอร์โมนสมดุล ส่งผลต่อสุขภาพที่ดีโดยรวม สำหรับผู้หญิงที่อยากท้อง การออกกำลังกายสำคัญมากเพราะจะช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเพศหญิงให้ปกติ และปรับน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม โดยมีงานวิจัยศึกษาผู้หญิงที่มีภาวะอ้วน น้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน (BMI มากกว่าหรือเท่ากับ 25) ส่งผลให้ไข่ไม่ตก ประจำเดือนมาไม่ปกติ เซลล์ไข่ด้อยคุณภาพ ฮอร์โมนไม่สมดุล หากใช้กระบวนการทางการแพทย์รักษาจะมีอัตราความสำเร็จต่ำกว่ากลุ่มที่น้ำหนักปกติ ยิ่งถ้าค่า BMI อยู่ในระดับ 30 ส่งผลต่อการแท้งบุตรมากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ จากงานวิจัยพบว่า คนอ้วนฮอร์โมนจะไม่สมดุล ก่อให้เกิด PCOS “ภาวะไข่ไม่ตกเรื้อรัง”เซลล์ไข่ด้อยคุณภาพ ท้องยากกว่าคนน้ำหนักปกติถึง 2 เท่า

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/pexels-2286921/

6. พักผ่อนไม่เพียงพอ

การนอนน้อยส่งผลให้เกิดความเครียดสะสม เมื่อเครียดฮอร์โมนความเครียด หรือ ที่เรียกว่า “คอร์ติซอลจะถูกหลั่งออกมามากเกินไป และมันก็จะไปรบกวนการทำงานของฮอร์โมนเพศ ทำให้ฮอร์โมนเพศผิดเพี้ยน แปรปรวน จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Current Sleep Medicine Report เมื่อปี 2016 ศึกษาพบว่าทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย สมองส่วนที่ควบคุมการหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้เราหลับ หรือ ตื่น เช่น ฮอร์โมนเมลาโทนิน และ คอติซอล เป็นสมองส่วนที่กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเพศด้วยเช่นกัน ดังนั้นฮอร์โมนที่ควบคุมการตกไข่ในผู้หญิง และฮอร์โมนที่ควบคุมการผลิตสเปิร์มในผู้ชายจึงมีความสัมพันธ์กับคุณภาพของการนอนหลับด้วย

7. มีความเครียด

รู้ไหมหรือไม่ยิ่งเครียดเท่าไหร่ ยิ่งท้องยากขึ้น! จากการศึกษาพบว่าผู้หญิงที่มีความกังวลและจมกับความเครียดส่งผลให้ตั้งครรภ์ยากสูงถึง 20% มีผลวิจัยชิ้นหนึ่งได้สุ่มทดลองกับผู้หญิงที่อยากมีบุตรจำนวน 501 คน โดยนำน้ำลายไปตรวจสอบเพื่อวัดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) และแอลฟา-อะไมเลส (Alpha-amylase) สารสำคัญ 2 ชนิดที่จะสื่อได้ว่า เรามีความเครียดมากน้อยแค่ไหน ผลการศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่ถูกค้นพบว่ามีสารสำคัญ 2 ชนิดนี้ในปริมาณที่สูง แปลได้ว่ามีความเครียดพอสมควร จะมีแนวโน้มตั้งครรภ์ยากตามไปด้วย โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็แสดงความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า เมื่อผู้หญิงเกิดความเครียด การตกไข่ก็จะผิดปกติ ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ และเมื่อไข่ไม่ตก โอกาสท้องก็ลดน้อยลงนั่นเอง ดังนั้นผู้หญิงที่อยากท้องต้องหาโอกาสผ่อนคลาย ลดความเครียด หากิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น ปลูกต้นไม้ ดูซีรี่ย์ โยคะ นั่งสมาธิ เป็นต้น

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/stevepb-282134/

8. ขาดวิตามินและแร่ธาตุ

จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารClinical Medicine Insight Women’s Health เมื่อปี 2019 ศึกษาพบว่า การทานวิตามินเสริมนั้น จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสตรีเตรียมตั้งครรภ์ การได้รับวิตามินและแร่ธาตุไม่เพียงพอเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีลูกยาก การทานวิตามินเสริมนั้นต้องทานล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือนก่อนตั้งครรภ์ เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุเพียงพอพร้อมที่สุดเพื่อส่งผลต่อการตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์ การได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่เพียงพอนอกจากจะส่งผลให้ผู้หญิง “มีลูกง่ายขึ้น”  แล้วยังช่วยลดความเสี่ยงทารกพิการแต่กำเนิด ส่งผลต่อคุณภาพและการเจริญเติบโตของเซลล์ไข่ (oocyte quality and maturation) เพิ่มอัตราการปฏิสนธิ ( fertilization) เพิ่มอัตราการฝังตัวของตัวอ่อนที่มีประสิทธิภาพ (implantation) เสริมการเจริญเติบโตของตัวอ่อนที่สมบูรณ์ (embryo development)  ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายของภาวะเจริญพันธุ์

สำหรับที่ DooDiDo ได้กล่าวมาข้างต้นนั้นเรียกได้ว่าเป็นพฤติกรรมที่ใครอยากที่จะมีลูกแล้วล่ะก็ ควรหลีกเลี่ยงมากๆเลยก็ว่าได้ค่ะ ทั้งนี้ก็ถือเป็นการเตรียมความพร้อมในการตั้งครรภ์เพื่อที่เด็กๆ ที่กำลังจะเกิดมานั้นครบถ้วน และสมบูรณ์ที่สุดค่ะ เลือกทานอาหารที่ดี มีประโยชน์ และครบ 5 หมู่ด้วย พักผ่อนร่างกายให้เยอะๆ งานที่รับภาระมามากๆนั้นก็พยายามรับมาแบบเบาๆ ไม่โหมงานหนัก งดทานเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์ ชา หรือกาแฟด้วย และพยายามศึกษารายละเอียดให้มากๆ พร้อมกับปรึกษาคุณหมอด้วยก็ดีเลยล่ะค่ะ

ขอบคุณแหล่งที่มา: www.posttoday.com