รู้ทัน!! 5 ข้อควรปฏิบัติ เพื่อลดอาการเหน็บชา

WM

“โรคเหน็บชา” ป้องกันได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 1

เคยนั่งหรือนอนทับแขนตัวเองนานๆ แล้วมีอาการแขนขาเสียความรู้สึกต่อการสัมผัส ชาไปชั่วขณะ หรือบางคนถึงขั้นเจ็บปวดและชาจนมีอาการอ่อนแรงเหยียดแขนขาไม่ออก หรือลุกไม่ได้เลยหรือไม่คะ นั่นแหล่ะค่ะที่เรียกว่า “อาการเหน็บชา” วันนี้เราจะพามารู้จักกับโรคเหน็บชา และวิธีป้องกันอาการดังกล่าวด้วยค่ะ

โรคเหน็บชา เป็นโรคระบบประสาทและสมองชนิดหนึ่ง เมื่ออายุมากขึ้น จะพบว่าโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคเหน็บชาจะมีมากขึ้น ทั้งนี้ส่วนหนึ่งมีผลมาจากพันธุกรรม ผู้ที่มีพ่อแม่ญาติที่ป่วยโรคเหน็บชามาก่อน พบว่าจะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเหน็บชามากกว่าผู้ที่ไม่มี อีกส่วนหนึ่งมาจากอาหารและพฤติกรรมส่วนบุคคล สาเหตุใหญ่มากจากการขาดวิตามินบี1 และ เมื่ออายุมากขึ้น การดูดซึกวิตามินจะทำได้ลดลง จึงเสี่ยงต่อการเป็นโรคเหน็บชามากขึ้น ดังนั้น เราจะมาแนะนำ 5 ข้อปฏิบัติที่จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงป่วยเป็นโรคเหน็บชา

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/nattanan23-6312362/

สาเหตุของเหน็บชา

สาเหตุที่สำคัญของเหน็บชา คือการรับประทานอาหารที่ขาดวิตามินบี 1 หรือภาวะที่ร่างกายขาดวิตามิน บี 1 โดยโรคนี้จะพบได้น้อยมากในพื้นที่ที่มีอาหารซึ่งอุมดมด้วยวิตามินอยู่มาก โดยเฉพาะอาหารจำพวกธัญพืชและขนมปัง และจะพบมากในพื้นที่ที่คนนิยมบริโภคข้าวที่ขัดสีแล้วมากกว่าบริโภคข้าวซ้อมมือ ซึ่งข้าวที่ได้รับการขัดสีจะมีวิตามีน บี 1 อยู่น้อยกว่าข้าวซ้อมมือ เป็นต้น

5 ข้อปฏิบัติ ลดอาการเหน็บชา 

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/naturefriend-194918/

1.หันมารับประทานข้าวกล้องแทนข้าวขาว ข้าวกล้องมีวิตามินบี1 และ วิตามินอื่นๆสูงมาก เพราะ จมูกข้าว เยื่อหุ้มเมล็ดข้าว ในข้าวกล้องจะไม่ถูกขัดออกไป เหมือนในข้าวขาว ซึ่งเป็นแหลงสะสมของสารอาหารมากมาย ในขณะที่ข้าวขาวมีเฉพาะแป้ง ที่ให้เฉพาะพลังงาน และ ถ้าหากรับประทานมากไปจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน ดังนั้น ควรเริ่มต้นฝึกรับประทานข้าวกล้องโดยเริ่มจาก ผสมกับข้าวขาวในสัดส่วนที่น้อยก่อน และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถรับประทานได้เต็มที่ 100 เปอร์เซนต์  

2.ลดอาหารแสลงบางประเภท ได้แก่ ของหมักของดอง ของดิบ รวมทั้งชา กาแฟ เพราะ พบว่าอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้ มีฤทธิ์ขัดขวางการดูดซึมวิตามินบี1 ของร่างกาย 

3.ลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบว่าผู้ป่วยติดสุราเรื้อรัง ส่วนมากมีอาการของโรคเหน็บชาร่วม ซึ่งผู้ที่ดื่มติดต่อกันยาวนานจะเลิกได้ยาก ทั้งนี้อย่าอายที่จะเข้ารับการบำบัดอย่างถูกวิธี 

4.รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสม เน้นผักและผลไม้เป็นหลัก นอกจากจะช่วยเรื่องโรคระบบประสาทและสมองแล้ว จะช่วยเรื่องโรคระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่ายอีกด้วย 

5.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 140 นาทีต่อสัปดาห์ เพื่อควบคุมน้ำหนัก สร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย และยังเป็นการป้องกันโรคต่างๆอีกด้วย 

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/pexels-2286921/

อาหารที่ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา

สามารถป้องกันการขาดวิตามิน บี 1 ได้ด้วยการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน บี 1 รวมไปถึงวิตามินชนิดอื่น ๆ ได้แก่

– ถั่วและธัญพืชที่อุดมด้วยวิตามิน บี 1 เช่น ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียวและงา

ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ จมูกข้าวสาลี และรำข้าว

– ธัญพืชเต็มเมล็ดหรือโฮลเกรน (Whole Grains)

– เนื้อวัว เนื้อปลา และเนื้อหมูไม่ติดมัน ตับ ไต และไข่แดง

– นมและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม เช่น โยเกิร์ต

– ผักบางชนิด เช่น หน่อไม้ฝรั่ง ฟักทอง กะหล่ำดาว (Brussels Sprouts) ผักโขม หน่อไม้ฝรั่ง เห็ด และผลไม้เช่น แตงโม น้ำส้ม

นอกจากนั้น ควรจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดเหน็บชาให้น้อยลงได้ เพราะแอลกอฮอล์มีผลต่อร่างกายในการดูดซึมวิตามิน บี 1 โดยเฉพาะผู้ที่ติดสุราหรือบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ควรได้รับการตรวจภาวะขาดวิตามิน บี 1 อย่างสม่ำเสมอ และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจมีสารทำลายวิตามินบี 1 เช่น ปลาร้า ใบชา ใบเมี่ยง หมากพลู ปลาส้มดิบ แหนมดิบ หอยลายดิบ ปลาน้ำจืดดิบ เป็นต้น

และนี่ก็คือเคล็ดลับการป้องกันโรคเหน็บชา และอาหารที่ควรรับประทานเพื่อไม่ให้เกิดอาการเหน็บชานะคะ หากใครที่กำลังประสบกับอาการเหน็บชาอยู่ในตอนนี้ DooDiDo ขอแนะนำให้ลองทำตามข้อมูลเบื้องต้น เพื่อจะได้ไม่เกิดอาการเหน็บชามากวนใจนะคะ

ขอบคุณแหล่งที่มา : www.thaihealth.or.th