รู้ทัน!! อาการแพ้เหงื่อ ภัยเงียบที่ไม่ควรละเลยในช่วงซัมเมอร์นี้

WM

ไม่ควรมองข้าม “อาการแพ้เหงื่อ” ที่ควรระมัดระวังในช่วงฤดูร้อน

มารู้จักอาการแพ้เหงื่อ คือลมพิษชนิดหนึ่งที่เกิดจากความร้อน โดยความร้อนจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของต่อมเหงื่อ ทำให้เหงื่อถูกหลั่งออกมาร่วมกับการเกิดผื่น หรือผู้ป่วยบางคนอาจเกิดอาการแพ้เหงื่อจากการที่ร่างกายสร้างแอนตีบอดีหรือภูมิต้านทานอย่าง สารอิมมิวโนโกลบูลิน(Immunoglobulin-G: IgG) ต่อเหงื่อของตัวเองจึงทำให้เกิดเป็นผื่นลมพิษขึ้นมา

แพ้เหงื่อ คือ อาการแพ้ที่ทำให้เกิดผื่นบริเวณผิวหนังซึ่งหลายคนเชื่อว่าเกิดจากเหงื่อออก แท้จริงแล้วมีสาเหตุมาจากอะไร และมีวิธีรักษาอย่างไร รวมทั้งวิธีการป้องกันที่ผู้ป่วยควรทราบเพื่อไม่ให้อาการรุนแรงจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน สังเกตได้ง่ายๆ ร่างกายจะไวต่อเหงื่อมากกว่าปกติ มีอาการคัน แสบ และรู้สึกไม่สบายตัวเมื่อมีเหงื่อออก โดยเฉพาะตามจุดที่มีเหงื่อออกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ใบหน้า ลำคอ ขาหนีบ หรือข้อพับต่างๆ

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/tiburi-2851152/

นอกจากนี้ ช่วงเวลาที่เหงื่อออก มักมีผดผื่น หรือตุ่มน้ำใสๆ ขึ้นตามร่างกายเป็นประจำ และผดผื่นที่ขึ้นตามร่างกายจะเกิดขึ้นเพียงแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ก่อนจะค่อยๆ ยุบ และจางหายไปเอง แต่ถ้าหากมีเหงื่อออกอีกครั้ง อาการแพ้เหล่านี้ก็อาจจะกลับมาได้อีกเช่นกัน ถึงแม้จะดูเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรงมาก แต่ก็ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะในประเทศไทยที่เป็นเมืองร้อน ผู้ที่แพ้เหงื่ออาจจะไม่สามารถออกกำลังกายกลางแจ้ง เดินทางในช่วงกลางวันที่มีฝุ่นควันและแดดเปรี้ยงๆ ซึ่งแน่นอนว่าการใช้ชีวิตคงจะยากขึ้นแน่ๆ

อาการแพ้เหงื่อ

อาการแพ้เหงื่อมักเกิดขึ้นค่อนข้างเฉียบพลัน และเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย แต่ส่วนใหญ่พบได้มากที่สุด คือ บริเวณหน้าอก ใบหน้า แผ่นหลังส่วนบน และแขน ในเบื้องต้นผื่นลมพิษจะขึ้นหลังจากเริ่มมีเหงื่อออกไม่นานนัก ผื่นที่ขึ้นมีลักษณะเป็นปื้นแดง หรือหนานูนเป็นวงกลม อาจมีอาการคัน หรือมีอาการเจ็บแปลบๆ หากสัมผัสตรงผื่นจะรู้สึกอุ่น ๆ บางครั้งอาจคล้ายกับอาการผิวหนังบวม หากผื่นเกิดบริเวณใกล้ ๆ กัน

ทั้งนี้อาการแพ้เหงื่อจะกินเวลาครั้งละประมาณ 30 นาที ไปจนถึง 1 ชั่วโมง นับตั้งแต่เริ่มเกิดอาการจนผื่นลมพิษยุบ ทว่าในผู้ป่วยบางรายอาจเกิดอาการแพ้ที่รุนแรงจนเป็นอันตรายได้ ดังนั้นหากเกิดอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ท้องเสีย ปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ หายใจตื้น หรือหายใจมีเสียงหวีด น้ำลายในปากเยอะขึ้นกว่าปกติ ความดันโลหิตลดต่ำลง และปวดบีบท้อง ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อความปลอดภัย

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/free-photos-242387/

สาเหตุอาการแพ้เหงื่อ

สาเหตุหลักของอาการแพ้เหงื่อคือ ความร้อน เมื่อผู้ป่วยอยู่ในบริเวณที่มีความร้อนสูง หรือทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความร้อนในร่างกาย เช่น ออกกำลังกาย อาบน้ำอุ่น หรือเข้าห้องอบซาวน่า เป็นไข้ สวมใส่เสื้อผ้าที่คับแน่นหรือไม่ระบายอากาศ รับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดจัด กิจกรรมเหล่านี้ทำให้ต่อมเหงื่อสร้างเหงื่อออกมาเพื่อระบายความร้อน และเมื่อผิวหนังมีปฏิกิริยากับเหงื่อและความร้อน ก็จะกระตุ้นให้เกิดลมพิษขึ้นมานั่นเอง ในบางกรณีอาการแพ้เหงื่ออาจกำเริบจากภาวะความเครียด และความวิตกกังวลได้อีกด้วย

ทั้งนี้โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยที่มีอาการแพ้เหงื่ออยู่แล้วมักจะไม่ค่อยพบว่ามีอาการของลมพิษชนิดอื่นๆ ที่เกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น ลมพิษจากการถูกขีดข่วน ลมพิษที่เกิดจากความเย็น หรือลมพิษที่เกิดจากแรงดัน ส่วนผู้ป่วยโรคอื่นๆ เช่น ผื่นผิวหนังอักเสบ โรคหอบหืด หรือมีอาการแพ้อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นภูมิแพ้อากาศ แพ้อาหาร หรือแพ้เกสรดอกไม้ ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้เหงื่อได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/lovesevenforty-14413/

การรักษาอาการแพ้เหงื่อ 

  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เช่น ว่านหางจระเข้ หากเกิดอาการผื่นคันแล้ว สามารถใช้ว่านหางจระเข้จากธรรมชาติ หรือเจลว่านหางจระเข้ที่ไม่ผสมสี น้ำหอม และสารเคมี เพื่อป้องกันการระคายเคืองของผิวที่อาจเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังอาจใช้สเปรย์ว่านหางจระเข้ที่มีมาตรฐาน ฉีดพ่นบริเวณที่เกิดอาการเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวโดยตรง อย่างไรก็ตาม หากมีหนอง ผื่นแดง คันมากขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เช่น การออกกำลังกาย หากเป็นไปได้ควรออกกำลังกายในบริเวณที่มีอากาศไม่ร้อนจนเกินไป หรือหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นและการอบซาวน่า ควบคุมความเครียดและความวิตกกังวลให้ได้
  • เลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม หากพบว่าตนเองมีภาวะแพ้เหงื่อจากความร้อน ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสเผ็ดจัด ลดปริมาณการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มร้อน ๆ อีกทั้งควรควบคุมปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็จะช่วยลดความถี่ในการเกิดอาการได้

นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจต้องดูแลตัวเองควบคู่ไปกับการใช้ยา ซึ่งนอกจากจะช่วยให้อาการแพ้ลดลงแล้ว ก็ยังอาจทำให้ความถี่ในการเกิดอาการลดลงด้วยอาการแพ้เหงื่อไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่สามารถลดความถี่ในการเกิดอาการได้ DooDiDo แนะนำว่าหากตรวจพบว่ามีอาการแพ้เหงื่อ ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เช่น หากมีปัจจัยมาจากความเครียด ควรหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียด และควรหาทางจัดการกับความเครียด นอกจากนี้ ยังสามารถป้องกันอาการแพ้ได้ด้วยวิธีเหล่านี้ ออกกำลังกายแต่พอดี และควรหยุดออกกำลังกายทันทีหากเริ่มมีผื่นลมพิษขึ้นตามผิวหนัง

ขอบคุณแหล่งที่มา: www.pobpad.com