รู้จักกับวิธีการป้องกันไข้หวัดใหญ่ในเด็ก และคู่มือสำหรับผู้ปกครอง

WM

ไข้หวัดใหญ่ในเด็ก… ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

ในปัจจุบันนี้เราจะเห็นแล้วว่ามีโรคภัยต่างๆ เกิดขึ้นมากมายซึ่งอาจจะเป็นโรคที่ติดต่อได้จากการสัมผัส จากทางอากาศ ซึ่งโรคที่เกิดขึ้นกับเด็กโดยเฉพาะเด็กในช่วงวัยทารกถึงช่วงวัยประถมจะเห็นว่าเด็กจะมีอาการเจ็บป่วยค่อนข้างที่จะบ่อย และเนื่องจากสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอมากๆมาจากภูมิคุ้มกันในร่างกายของพวกเขายังคงไม่ได้มากเท่าที่ควร  โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาป่วยหนักด้วยโรคไข้หวัดใหญ่นั่นเองค่ะ ซึ่งสามารถป้องกันได้หลายวิธีแต่วิธีที่ดีที่สุดก็คือการฉีดวัคซีนนะคะวัคซีนจะเข้าไปทำลายตัวไวรัสให้อ่อนแอและทำงานได้แย่ลงซึ่งสุขภาพร่างกายของลูกก็จะกลับมาดีในเร็ววันนะคะ เชื้อไข้หวัดใหญ่นั้นพบด้วยกันมี 3 ชนิดใหญ่ๆนั้นก็คือชนิด a b และ c ค่ะ OK รายการนี้ก็มาลองศึกษาอาการต่างๆของไข้หวัดใหญ่กันได้ในบทความนี้เลยค่ะ

ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่พบได้ตลอดปี แต่จะพบมากในฤดูฝนและฤดูหนาว เกิดได้กับทุกเพศทุกวัย ต้นเหตุคือไวรัสที่มีชื่อว่า “อินฟลูเอนซาไวรัส (Influenza virus)” ที่อยู่ในน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วย และติดต่อผ่านการไอ จาม หรือหายใจรดกัน

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@caleb_woods

รู้จัก เชื้อไข้หวัดใหญ่ ที่เด็กๆ อาจเป็น

เชื้อไข้หวัดใหญ่มี 3 ชนิดใหญ่ๆ เรียกว่า ชนิด A, B และ C โดยแต่ละชนิดยังแบ่งเป็นพันธุ์ย่อยๆ อีกมาก โดยการเกิดโรคแต่ละครั้งจะเกิดจากพันธุ์ย่อยเพียงพันธุ์เดียว เมื่อเป็นสายพันธุ์ไหนแล้วร่างกายจะมีภูมิต้านทานต่อสายพันธุ์นั้น จึงสามารถติดเชื้อสายพันธุ์ที่ไม่เคยเป็นได้ มีระยะฟักตัว 1-4 วัน

เชื้อไข้หวัดใหญ่บางสายพันธุ์อาจผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำให้เกิดการระบาดใหญ่ และการระบาดแต่ละครั้งจะตั้งชื่อตามแห่งต้นกำเนิด เช่น ไข้หวัดฮ่องกง, ไข้หวัดรัสเซีย, ไข้หวัดสิงคโปร์ และไข้หวัดใหญ่ A H1N1 2009 เป็นต้น

อาการแบบนี้ ต้องสงสัยว่าเด็กเป็นไข้หวัดใหญ่

  • มีไข้สูงเกิดขึ้นทันทีทันใด ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย เบื่อ อาหาร ขมในคอ อาจมีอาการเจ็บในคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอแห้งๆ จุกแน่นท้อง แต่บางรายก็อาจไม่มีอาการคัดจมูก หรือเป็นหวัดเลยก็ได้
  • ไข้สูงกว่าหวัดธรรมดา ประมาณ 38.5-40 องศาเซลเซียส ประมาณ 2-4 วัน แล้วค่อยๆ ลดลง
  • ไอ และอ่อนเพลีย อาจจะเป็นอยู่ 1- 4 สัปดาห์ แม้ว่าอาการอื่นๆ จะทุเลา แล้วก็ตาม
  • หน้าแดง เปลือกตาแดง อาจมีน้ำมูกใส คอแดงเล็กน้อยหรือไม่แดงเลย (ทั้งๆ ที่ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บคอ) ส่วนมากมักตรวจไม่พบอาการผิดปกติอื่นๆ

การรักษา เมื่อเด็กๆ เป็นไข้หวัดใหญ่

  • คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลบุตรหลาน ใกล้เคียงกับการดูแลในขณะที่เด็กๆ เป็นไข้หวัด คือ นอนพักผ่อนมากๆ ห้ามทำงานหนัก ห้ามอาบน้ำเย็น ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง กินอาหารอ่อนๆ อย่างข้าวต้มและโจ๊ก รวมทั้งดื่มน้ำเปล่า น้ำหวานหรือน้ำผลไม้มากๆ
  • ให้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้แก้ปวด ยาแก้ไอ ยาแก้หวัด เป็นต้น (ใน เด็กควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน)
  • กินยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ ซึ่งแพทย์จะพิจารณาการรักษาเป็นรายๆ ไป
  • หากผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย อาจจะต้อง ได้รับยาปฏิชีวนะ โดยผู้ป่วยจะมีอาการน้ำมูกหรือเสมหะสีเหลืองหรือเขียว, ไซนัสอักเสบ, หูชั้นกลางอักเสบ, หลอดลมอักเสบหรือปอดอักเสบ เป็นต้น
  • สังเกตอาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์ เช่น ไข้สูง ซึม หายใจหอบเหนื่อย ผิดปกติ หรือในผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง/โรคเรื้อรัง/เด็กเล็กน้อยกว่า 2 ปี/ผู้สูงอายุ ควรดูแลสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด
WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@davidveksler

ไข้หวัดใหญ่ในเด็ก ป้องกันได้

เด็กๆ ทั่วไปที่ร่างกายแข็งแรงดี ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับไข้หวัดทั่วไป โดยให้ล้างมือบ่อยๆ ออกกำลังกายเป็นประจำ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือคลุกคลีกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยปิดปาก/จมูก เมื่อออกนอกบ้าน ไม่พยายามเอามือขยี้ตา แคะจมูกหรือเอามือเข้าปาก และควรพาบุตรหลานเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี

ใครบ้าง ควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่

  • เด็กอายุ 6-23 เดือน และผู้ที่ใกล้ชิดกับบุคคลที่ได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่
  • ผู้ใหญ่อายุ 55 ปีขึ้นไป
  • เด็กอายุ 6-18 ปี ที่มีโรคเบาหวาน, โรคไต, โรคเลือด, ภูมิคุ้มกันเสื่อม หรือต้องรักษาด้วยยาแอสไพริน เป็นประจำนานๆ
  • ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคปอดเรื้อรัง, หอบหืด, โรคหัวใจ, โรคไต, เบาหวาน, ภูมิคุ้มกันบกพร่อง, ผู้พิการทางสมองช่วยเหลือตนเองไม่ได้, ผู้ที่อ้วนมาก
  • ผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำในปีที่ผ่านมา
  • ผู้ป่วยที่เคยเป็นปอดอักเสบมาก่อน
  • บุคคลากรทางการแพทย์, เจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการ, เจ้าหน้าที่ในสถานเลี้ยงเด็ก, สถานบริบาลคนชรา, สถานบำบัดผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
  • หญิงมีครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสที่ 3 ของครรภ์
  • นักทัศนาจร ที่จะเดินทางไปต่างถิ่นที่อาจมีการระบาด

*** ในกลุ่มเหล่านี้ควรฉีดวัคซีนทุกปี เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันทุกปี โดย ภูมิคุ้มกันจะเกิดขึ้นสูงสุดหลังฉีดวัคซีนประมาณ 2 สัปดาห์ และอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี โดยมีความสามารถในการป้องกันสูงสุดที่ 6-8 เดือนแรก จากนั้นภูมิคุ้มกันจึงค่อยๆ ลดลง ***

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@blue_jean

ห้ามฉีดวัคซีน ถ้าคุณอยู่ในกลุ่มนี้

  • เด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน
  • ผู้มีประวัติแพ้ไข่ไก่ชนิดรุนแรง ถ้าแพ้แบบไม่รุนแรง เช่น เป็นผื่นสามารถฉีดวัคซีนได้ แต่ต้องเฝ้าดูอาการอย่างน้อย 30 นาที หลังฉีด
  • ผู้ที่เจ็บป่วยเฉียบพลัน
  • มีไข้สูง แต่ถ้าป่วยด้วยโรคเล็กๆ น้อยๆ ไม่เป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีน
  • ผู้ที่มีปฏิกิริยาแทรกซ้อนที่รุนแรง หลังได้รับวัคซีนครั้งที่ผ่านมา

คุณพ่อคุณแม่ควรตระหนักในเรื่องการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้กับลูกน้อยเพื่อป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็กที่มีอายุ 6 เดือนขึ้นไป และคนที่อยู่ใกล้ชิดเด็ก เพราะการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สามารถช่วยปกป้องคนที่คุณรักและตัวคุณเองได้

มาถึงในส่วนท้ายของบทความกันแล้วนะคะเป็นยังไงกันบ้างคะเพื่อนๆ ที่ได้เข้ามาอ่านบทความนี้ DooDiDo คิดว่าคงจะได้รู้เกี่ยวกับวิธีการป้องกันโรคไข้หวัดกันไปบ้างแล้ว  เป็นอย่างไรจบไปแล้วเพื่อนๆ เริ่มที่จะตระหนักได้หรือยังคะว่าเราควรที่จะพาลูกมาของเราไปรับวัคซีนเพื่อที่จะกระตุ้นภูมิคุ้มกันในทุกๆปีนะคะ  ภูมิคุ้มกันเนี่ยเด็กจะไม่มากดังนั้นก็ควรที่จะพาเขาไปกระตุ้นให้ได้ภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงมากขึ้นนะคะ คุณพ่อคุณแม่ควรที่จะพาลูกออกไปทำกิจกรรมอย่างเช่นการออกกำลังกายที่ใช้พละกำลังเพื่อที่จะให้พวกเขาได้มีการขยับตัวบ่อยๆ นะคะสุดท้ายนี้ก็บอกว่าคุณและลูกๆ ของคุณจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงตลอดไปนะคะ

ขอบคุณแหล่งที่มา : www.phyathai.com