รวบรวม”ผลเสียของยาระบาย”สำหรับคนที่มีปัญหาท้องผูกควรต้องรู้ไว้!!

WM

มหันตภัยโดยไม่รู้ตัวหากใช้ “ยาระบาย” เป็นประจำอาจจะไม่ปลอดภัยอย่างที่คุณคิด

ปัญหาใหญ่ของผู้หญิงเราๆ ก็คือ มีพุง อืด ขับถ่ายยาก กินจุ อึดอัด ทรมานกับการไม่ถ่าย รู้สึกแย่ทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำ และคนส่วนใหญ่คิดว่าแค่ยาระบายไม่มีอันตรายอะไร บางคนใช้ยาระบายเพื่อลดความอ้วน โดยรับประทานต่อเนื่องทุกวันเป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งเป็นการใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง นอกจากไม่ได้ผลในการลดความอ้วนแล้ว ยังอาจทำให้เกิดผลเสียกับร่างกายตามมาอีกด้วย ทำให้การเป็นคนดื้อยา ระบบขับถ่ายพังกว่าเดิม ร่วมถึงภาวะเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้อีกด้วย

เรื่องอาการถ่ายไม่ออกนั้น หลายคนฟังอาจคิดว่าเป็นเรื่องตลก แต่แท้ที่จริงแล้วมันแฝงด้วยอันตรายหลายๆ อย่างโดยเฉพาะคนที่แก้ปัญหาด้วยการใช้ยาถ่ายเพื่อระบายออก บางคนหวังว่าถ่ายบ่อยๆ จะได้น้ำหนักลด แต่ความคิดแบบนั้นกำลังสร้างมหันตภัยโดยไม่รู้ตัว และหลายต่อหลายคนคงต้องพึ่งยาถ่ายหรือยาระบายเพื่อคลายความอึดอัด แต่ทะว่านาถ่ายก็มีอันตรายฝแฝงอยู่เช่นกัน ถ้าหากใช้มากเกินความจำเป็นหลายคนเถียงว่ายาถ่ายที่กินอยู่นั้นเป็นยาสมุนไพรปลอดภัย ไร้กังวล ถ้าเช่นนั้นเรามารู้จักชนิดของยาถ่ายกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง ยาถ่ายที่แพร่หลายอยู่ในปัจจุบันแบ่งได้อยู่ 4 กลุ่มใหญ่ๆ มีอะไรบ้างมาดูกันคะ

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/dezalb-1045091/

กลุ่มที่ 1 : ยาที่กระตุ้นลำไส้ใหญ่ให้บีบตัว
เป็นยาที่กระตุ้นลำไส้ใหญ่ให้บีบตัว จำพวกน้ำมันละหุ่ง เซนนา (สารจากใบและฝักมะขามแขก) ไบซาโคดิล สลอด ฯลฯ ยาพวกนี้จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่ให้เกิดการบีบตัวมากขึ้นกว่า ปกติ เพราะเมื่อลำไส้ใหญ่บีบตัวกระบวนการขับของเสียก็มีโอกาสเกิดขึ้นมาก แต่สิ่งที่จะทำมาภายหลังก็คือ ลำไส้ใหญ่จะเกิดการหย่อนยาน และไม่สามารถบีบตัวเองได้ และเมื่อไรที่หยุดกินยาก็ทำให้ไม่สามารถถ่ายเองได้ บางคนกินยาถ่ายเข้าไปเป็นสิบ ๆ เม็ดยังไม่ยอมถ่าย และทำให้ร่างกายเกิดการสะสมพิษอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็ทำให้หงุดหงิด ตัวบวม มีกลิ่นตัว ปากเหม็น ผิวพรรณไม่ผ่องใส และอาจมีปัญหาตามมาอีกมากมาย

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/marcoliver_artworks-694953/

กลุ่มที่ 2 : ยาที่เพิ่มปริมาณน้ำในลำไส้
เป็นยาที่เพิ่มปริมาณน้ำในลำไส้ เช่น กลุ่มเกลือแมกนีเซียม โดยจะเข้าไปช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในลำไส้และจะช่วยให้ระบบขับถ่ายระบายได้ดี ขึ้น ยาประเภทนี้หากกินมากเกินไปอาจทำให้เกิดการถ่ายท้องที่รุนแรงและเป็นอันตราย ได้ และข้อสำคัญคือยากลุ่มนี้จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและทำให้เกิดพิษต่อหัวใจ และไต ดังนั้นจึงมีข้อห้ามใช้ในคนที่เป็นโรคไตและโรคหัวใจ รวมถึงเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีด้วย

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/mareefe-2090044/

กลุ่มที่ 3 : ยาที่หล่อลื่นลำไส้
เป็นยาที่หล่อลื่นลำไส้ เช่น อีแอลพี โดยยาชนิดนี้จะเป็นยาน้ำที่ได้จากน้ำมันปิโตรเลียม ไม่ถูกย่อย ไม่ดูดซึม และจะช่วยหล่อลื่นให้ลำไส้เพื่อให้อุจจาระผ่านได้สะดวก และยังทำให้อุจจาระนุ่มขึ้นด้วย แต่ก็มีข้อควรระวังคือยาชนิดนี้จะทำให้ร่างกายไม่ดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค และระหว่างที่ใช้ต้องระวังอย่าให้สำลักเพราะอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคปอด อักเสบตามมาได้

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/marijana1-8558212/

กลุ่มที่ 4 : สารเพิ่มกากใย
ก็คือสารเพิ่มกากใย โดยจะช่วยเพิ่มกากใยให้กับอุจจาระและทำให้อุจจาระนุ่ม ถ่ายง่าย ช่วยป้องกันอาการท้องผูก ริดสีดวงทวาร แผลปริที่ทวารหนัก และบรรเทา อาการของพวกที่ลำไส้ไวต่อสิ่งเร้าอีกด้วย วิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดูปลอดภัยและใช้ประโยชน์จากธรรมชาติได้มากที่สุด เพราะสารที่มีกากใยนั้นอยู่ในธรรมชาติ เช่น รำข้าว ผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง เป็นต้น

จากข้อมูลเบื้องต้นจะเห็นได้ว่าแม้ว่าผลลัพธ์ของยาถ่ายแต่ละประเภทจะมีจุดหมายเดียวกันก็คือ ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นแต่ผลข้างเคียงของแต่ละชนิดก็แตกต่างกันไป แต่ DooDiDo การที่จะทำให้ร่างกายสามารถกลับมาขับถ่ายได้เองนั้น ยาถ่ายคงช่วยได้เพียงแค่ครั้งคราวเท่านั้น ดังนั้นแล้วการหันหาธรรมชาติเพิ่มกากใยให้กับร่างกายตนเองด้วยการกินผักสด ผลไม้สด และหันมากินข้าวกล้องก็จะช่วยเพิ่มกากใยให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี ดื่มน้ำมากๆ และเมื่อทำจนเคยชินเป็นกิจวัตรประจำวัน

ขอบคุณแหล่งที่มา: www.facebook.com/NarahShop