มาดู!! 6 วิธีสลัดความขี้เกียจที่เกาะกุมตัวเราออกไปให้ไกล

WM

การเป็นคนขี้เกียจจะส่งผลทำให้งานเกิดปัญหาขึ้นได้

คนทำงานหลายคนอาจจะเคยเจอกับความขี้เกียจกับตัวเองกันบ้างใช่ไหมคะ เนื่องจากทำงานมานาน ไม่ค่อยมีเวลาพัก เลยทำให้เรารู้สึกอยากพักนาน ๆ จนกลายมาเป็นความขี้เกียจได้ ใคร ๆ ในโลกาล้วนมีความเกียจคร้านในตัว” เป็นคำพูดหนึ่งที่บ่งบอกได้ว่า ไม่ว่าใครๆ ก็อยากทำตัวตามสบาย อยากจะอยู่เฉยๆ แบบ ขี้เกียจ หรือทำอะไรเรื่อยเปื่อยตามที่เราต้องการกันทั้งนั้น แต่ถ้าขี้เกียจตัวเป็นขน จนทำให้งานเกิดปัญหาขึ้นมา

นอกจากจะก่อปัญหาต่อตนเองจากหน้าที่การงานบกพร่องแล้ว ยังส่งผลเสียต่อองค์กรส่วนรวมของเราอีกด้วย แม้จะเป็นคนที่ขยันที่สุดก็ยังมีวันอยากพักผ่อนกันบ้าง พักนิดหน่อยพอเป็นพิธีก็ช่วยคลายเหนื่อยคลายเครียดได้ แต่ถ้ามันเริ่มจะหยุดยาว ๆ ไม่มีระเบียบวินัยจนไม่ใช่การพักผ่อน แต่เป็นขี้เกียจตัวเป็นขนแล้วล่ะก็ งานการอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ ซึ่งความขี้เกียจมีทั้งการทำงานจะหมดแรง อยากนอน อยากพักผ่อนอยู่เฉยๆ กับ อาการขาดแรงขับในการทำงาน หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ขาดแรงบันดาลใจ

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/firmbee-663163/

1.เลิกนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง
ผัดวันประกันพรุ่ง เป็นหนึ่งในตัวอย่างของนิสัยขี้เกียจ เพราะ เป็นการแสดงออกถึงอาการ “ยังไม่อยากทำสิ่งนี้ในตอนนี้” ซึ่งหากผัดเวลาไปเรื่อยๆ จะทำให้มีงานการคั่งค้างได้ การเลิกผัดวันประกันพรุ่งจะช่วยลดปริมาณงานที่คั่งค้าง และ ยังช่วยให้งานใหม่ ๆ ที่กำลังตามมา จะเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วมากขึ้นด้วย

2.ออกกำลังกาย ยืดเส้น ยืดสาย
การออกกำลังกายเป็นการใช้งานร่างกายโดยไม่ต้องใช้สมองคิดอะไรละเอียดมากมาย และช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนต่างๆ ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า สมองทำงานดี แจ่มใส ลดอาการขี้เกียจจากการที่ร่างกายของเราไม่ตื่นตัวได้ หากเรารู้สึกเหนื่อยเนือยระหว่างวัน เราอาจลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายบ้าง หรือ สะบัดมือ ดัดนิ้ว ยืดแขนไปมา ก็ช่วยให้ร่างกายของเรารู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นได้ค่ะ

3.นึกถึงผลเสียของความขี้เกียจ
ลองนึกว่า หากเราขี้เกียจแล้วโดนไล่ออกจากงานเพราะความขี้เกียจ หรือ อาจทำให้เกิดความเสียหายกับงานส่วนรวม จนทำให้งานล่าช้าทั้งระบบ หรือโดนเรียกไปตำหนิ ต่อว่า เพราะความขี้เกียจของเรา แถมยังลดโอกาสที่จะได้เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง หรือเพิ่มโบนัสอีกด้วย เมื่อเรารู้แล้วว่า “ความขี้เกียจ” นั้นมีข้อเสียมากมายขนาดไหน และมองเห็นว่า ผลจากความขี้เกียจนั้นช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เราจะได้มีกำลังฮึดสู้เพื่อขจัดความขี้เกียจออกไป ก่อนที่มันจะกลายเป็น “นิสัย” และ “ข้อเสีย” ที่แก้ไขยาก และติดตัวเราไปตลอด

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/firmbee-663163/

4.จัดการงานให้เป็นระบบ
บางครั้ง ความรู้สึกขี้เกียจทำงานนั้น อาจเกิดมาจากการที่เราเห็นงานกองโตจนรู้สึกท้อใจ ยิ่งถ้ารู้ว่าต้องทำงานปริมาณมาก ด้วยเดดไลน์ที่เร่งด่วนเกินกว่าที่จะสามารถทำได้จริง ก็ยิ่งรู้สึกถอดใจ ไม่อยากทำ และกลายเป็นความขี้เกียจไปในที่สุด เราสามารถแก้ไขสถานการณ์นี้ได้ ด้วยการนั่งนิ่งๆ ตั้งสติ และค่อยๆ จัดระเบียบงานตรงหน้าให้เป็นระบบ ด้วยการแบ่งงานตามความเร่งด่วนของเนื้องาน เช่น ด่วน ด่วนมาก รอไปก่อนได้ เป็นต้น

เราไม่จำเป็นต้องรอให้ตัวเองรู้สึก “พร้อม” ถึงค่อยเริ่มทำงาน เพราะ การรอคอยวันเวลาหรือโอกาสที่เหมาะสมที่สุดเพันเป็นหนึ่งในการผัดวันประกันพรุ่งนั่นเอง, เริ่มทำในสิ่งที่ง่ายก่อนและย่อยงานเป็นส่วนเล็กๆ เพื่อให้เห็นงานมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง จะเป็นกำลังใจให้เราตั้งใจทำงานมากขึ้นอีกด้วย

5.ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนและลงมือทำอย่างต่อเนื่อง
เราควรตั้งเป้าหมายกับตัวเองให้ชัดเจนไปเลย ว่าจะทำอะไร อย่างไร เสร็จสิ้นภายในเมื่อไหร่ ไม่ใช่ตั้งเป้าหมายอย่างเลื่อนลอย เช่น ถ้าเราอยากลดน้ำหนัก เราควรตั้งเป้าหมายว่า จะลดน้ำหนักกี่กิโลกรัม ให้สำเร็จภายในระยะเวลาเท่าไหร่ ยกตัวอย่างเช่น ลดน้ำหนักให้ได้ 10 กิโลกรัม ให้สำเร็จภายในเวลา 2 เดือน เป็นต้น

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/kaboompics-1013994/

6.กำหนดเส้นตายแบบเผื่อเวลา
หากเรารู้ตัวว่า เราเป้นคนที่ชอบทำงานไฟแลบในคืนสุดท้ายของกำหนดส่ง และไม่สามารถแก้นิสัยนี้ได้สักที ลองกำหนดเส้นตายให้ตัวเองแบบเผื่อเวลา เช่น กำหนดเส้นตายล่วงหน้า 1-2 วัน เพื่อให้เราเร่งทำให้เสร็จก่อนกำหนดเวลาที่แท้จริง และเหลือเวลาสักหน่อย สำหรับตรวจสอบผลงานว่าเรียบร้อย ตรงตามที่ต้องการหรือไม่

ทั้ง 6 วิธีที่ DooDiDo นำมาฝากเพื่อน ๆ ในวันนี้ เป็นวิธีที่จะช่วยให้เพื่อน ๆ ได้จัดการกับความขี้เกียจ ที่ส่งผลเสียต่อการงานได้ ดังนั้นเราควรจะปรับวิธีคิดเพื่อให้ตัวเองไม่เป็นคนขี้เกียจ จะได้ไม่ต้องกระทบกับการงานของเราค่ะ อีกสิ่งที่สำคัญที่จะเป็นตัวช่วยให้เราไม่ขี้เกียจนั่นคือ การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน เมื่อเป้าหมายของเราชัดเจนเราจะพยายามมากกว่าเดิมนั่นเองค่ะ

ขอบคุณแหล่งที่มา : https://goodlifeupdate.com