พุ่งไม่หยุด “บิตคอยน์” ปรับราคาถึง20,000 ดอลลาร์

WM

ภาพโดย tom bark จาก Pixabay

 “บิตคอยน์”  พุ่งไม่หยุด ปรับราคาถึง20,000 ดอลลาร์

พุ่งไม่หยุด “บิตคอยน์” ปรับราคาถึง20,000 ดอลลาร์ โดย “จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับแคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง (BitKub) ผู้ให้บริการตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล กล่าวถึงปรากฏการณ์ครั้งนี้ว่า เป็นผลมาจาก 4 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่

  1. bitcoin halving หรือการลดลงครึ่งหนึ่งของจำนวนบิตคอยน์ที่ออกใหม่ ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นทุก ๆ 4 ปี ครั้งแรกในปี 2555 ถัดมาปี 2559 และครั้งล่าสุดในปี 2563 “bitcoin halving ส่งผลให้ราคาของบิตคอยน์ปรับขึ้นอย่างรุนแรง เช่น ในปี 2555 ราคาคอยน์ปรับขึ้นจาก 11 ดอลลาร์ ไปอยู่ที่ 1,150 ดอลลาร์ ครั้งถัดมาราคาปรับขึ้นจาก 650 ดอลลาร์ ไปอยู่ที่ 20,000 ดอลลาร์ โดยการปรับขึ้นแรงก็ส่งผลให้ราคาร่วงลงมาแรงเช่นกัน แต่จะเป็นการร่วงลงไปอยู่ในจุดที่สูงกว่าราคาเดิมเสมอ”
  2. เพย์พาล (PayPal) ผู้ให้บริการทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์ ประกาศรับชำระเงินด้วยบิตคอยน์ ส่งผลให้ฐานลูกค้าของ PayPal ราว 300 ล้านคน รวมถึงร้านค้ากว่า 26 ล้านร้านค้า สามารถซื้อขายสินค้าด้วยบิตคอยน์ได้ ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บิตคอยน์หน้าใหม่มากที่สุดในรอบ 10 ปี
  3. แหล่งเงินทุนสถาบันให้การยอมรับบิตคอยน์มากขึ้น โดย Grayscale บริษัทจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลของสหรัฐ ประกาศลงทุนในบิตคอยน์สูงถึง 15,000 เหรียญ มูลค่ารวมกว่า 250 ล้านดอลลาร์ขณะที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอย่าง “Square” ที่เป็นบริษัทรับจ่ายเงินเจ้าของเดียวกับ “Twitter” และ “MicroStrategy” ผู้ให้บริการระบบธุรกิจอัจฉริยะซอฟต์แวร์มือถือและโซลูชั่นคลาวด์ ก็ประกาศลงทุนในบิตคอยน์ ส่งผลให้ราคาหุ้นสหรัฐปรับขึ้น สะท้อนความเชื่อมั่นนักลงทุน และเป็นการจุดกระแสให้บริษัทจดทะเบียนรายอื่น ๆ หันมาลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น
  4. กฎหมายรองรับบิตคอยน์มีความชัดเจนมากขึ้น ล่าสุด ธนาคารดีบีเอส ประเทศสิงคโปร์ เสนอบริการจัดเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลให้แก่ลูกค้า ซึ่งรวมไปถึงการจัดเก็บบิตคอยน์
WM
ภาพโดย MichaelWuensch จาก Pixabay

 “จิรายุส” บอกว่า หลังราคาเหรียญปรับขึ้นทะลุ 1 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดเปิดบัญชีใหม่ของ BitKub ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 40,000 บัญชี/วัน รวมถึงมีปริมาณการซื้อขายสูงถึง 2,500 ล้านบาท/วัน

“จากปัจจัยหนุนทั้งหมดนี้ ทำให้ BitKub เริ่มโฆษณาตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อรองรับกับปรากฏการณ์การปรับขึ้นของบิตคอยน์ตามรอบ แต่เตือนอีกครั้งว่า อะไรที่ขึ้นแรงก็ต้องลงแรง รวมถึงบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่ประเมินราคาในอนาคตไม่ได้ ดังนั้น จึงอยากให้นักลงทุนศึกษาข้อมูลก่อนเข้ามาลงทุน รวมถึงเงินทุนที่ใช้ลงทุนควรเป็นเงินที่สามารถรับความเสี่ยงได้”

ขณะที่ “ปรมินทร์ อินโสม” กรรมการบริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น (Satang Pro) ผู้ให้บริการตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล กล่าวว่า หลังจากที่ราคาบิตคอยน์ปรับขึ้นทะลุ 30,000 ดอลลาร์/BTC

ประเมินเป้าราคาถัดไปที่ 50,000 ดอลลาร์ โดยสำหรับนักลงทุนที่มีการลงทุนในบิตคอยน์อยู่แล้ว สามารถถือเพื่อรับกำไรในระยะยาวได้ แต่สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีของในมือ แนะนำซื้อขายเก็งกำไรระยะสั้นจบในวันเท่านั้น

“ปัจจัยหนุนที่จะส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ปรับขึ้นต่อจากนี้ ได้แก่ ค่าเงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลง จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐพิมพ์เงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้ค่าเงินสกุลอื่น ๆ รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิตคอยน์มีโอกาสปรับขึ้น

นอกจากนี้ การพิมพ์เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจส่งผลให้บริษัทขนาดใหญ่ที่มีกระแสเงินสดสูงได้รับผลกระทบจากมูลค่าเงินที่ลดลง ส่งผลให้บริษัทเหล่านั้นต้องหาสินทรัพย์ลงทุนที่ยังให้ผลตอบแทนสูง รวมถึงสามารถคงมูลค่าของเงินไว้ได้ ซึ่งการลงทุนในบิตคอยน์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ”

ทั้งนี้ คงต้องติดตามกันต่อไปว่า กระแสบิตคอยน์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในต่างประเทศ จะส่งต่อความนิยมสู่ประเทศไทยได้เพียงใด แต่ที่แน่ ๆ พอเห็นผลตอบแทนดี ผู้ที่กำลัง searchfor yield ก็คงเบนความสนใจไปสู่สินทรัพย์ดิจิทัลกันมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

เศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจทั่วโลก บทวิเคราะห์เศรษฐกิจ เจาะตลาดการวางแผนเศรษฐกิจ  เศรษฐกิจการเงิน เศรษฐกิจการลงทุน ติดตามข่าวเศรษฐกิจด่วน กระแสข่าวเศรษฐกิจ ที่ได้รับความสนใจ ได้ที่ doodido

ที่มา  ประชาชาติธุรกิจ