พามารู้จัก “ฮิคิโคโมริ ซินโดรม” โรคเก็บตัวที่หลายคนอาจจะมองข้าม!!

WM

โรค “ฮิคิโคโมริ ซินโดรม” ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมแยกตัวออกจากสังคม

สุขภาพของเรามีส่วนสำคัญกับการดำเนินชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก เมื่อเรามีสุขภาพที่ดี ก็จะทำให้เรามีความสุขทั้งกายและใจ แต่เมื่อเรามีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพก็จะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน ทำให้เราเคลียด และปัญอื่นๆ ตามมาได้เช่นกัน บางคนอาจจะมองข้ามละเลยและไม่สนใจ ปล่อยให้มีอาการสะสมมากขึ้น จนหาทางออกไม่เจอ และยิ่งคอยบั่นทอนชีวิตมากขึ้นต่อไปเรื่อยๆ

จะเห็นได้ว่ายุคปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการใช้ชีวิต บางคนมีเทคโลโลยีเป็นเพื่อน การเล่นเกม ดูหนัง ดูซีรี่ย์ ยูทูปต่างๆ นั่งเล่นมือถือ ผ่านอุปกรณ์เหล่านี้ โดยไม่อยากออกไปเจอผู้คน สังคม ชอบเก็บตัวอยู่กับตัวเองมากจนเกินไป จนไม่กล้าออกจากบ้านไปเจอผู้คน ถ้าคนในครอบครัวไม่สนใจและไม่สังเกต ก็อาจจะเป็นผลเสียตามมาถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป วันนี้เราพามารู้จักกับโรค “ฮิคิโคโมริ ซินโดรม” ว่าคืออะไร

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/myriams-fotos-1627417/

“ฮิคิโคโมริ ซินโดรม” ไม่ใช่แค่เก็บตัว แต่เป็นความผิดปกติ

“ฮิคิโคโมริ ซินโดรม (Hikikomori Syndrome)” เป็นความผิดปกติทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมแยกตัวออกจากสังคม ไม่ชอบพบปะผู้คน ปิดกั้นตัวเอง โดยมักจะเก็บตัวอยู่แต่ในห้องหรือในบ้านโดยแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์กับสังคมภายนอก หรือเรียกได้ว่าพยายามหลีกหนีและทำตัวให้หายไปจากสังคม ซึ่งฮิคิโคโมรินี้เป็นความผิดปกติ หลายคนจึงแยกไม่ค่อยออกระหว่างผู้ที่ป่วยกับคนชอบเก็บตัว

โดยปกติแล้ว เด็กวัยเรียนในช่วงอายุ 6-12 ปี เป็นช่วงวัยเรียนรู้หรือกำลังมีพัฒนาการในทุกด้าน การเรียนรู้ที่เด็กได้รับในช่วงนี้จะกระตุ้นการทำงานและพัฒนาสมอง ทำให้เด็กพัฒนาความสามารถอย่างรวดเร็วทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา การใช้ภาษา และการแก้ปัญหา จนมีความมั่นใจในตัวเอง มีอารมณ์มั่นคง สามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้ และเติบโตเป็นวัยรุ่น วัยทำงานของประเทศต่อไป

อย่างไรก็ตาม หากพัฒนาการในวัยเด็กมีปัญหาหรือหยุดชะงักโดยไม่ได้รับการช่วยเหลือ จะส่งผลต่อพัฒนาการช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นรอยต่อของวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ และอาจกลายเป็นปัญหาสังคมได้ในอนาคต

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/nwimagesbysabrinaeickhoff-13202465/

เด็กที่อยู่ในวัยเรียนรู้และกำลังมีพัฒนาการในด้านต่างๆ จะอยากรู้อยากเห็น เล่นซน ชอบร่วมกิจกรรม สนุกสนานกับกลุ่มเพื่อนที่โรงเรียน แต่หากเด็กคนไหนมีพฤติกรรมแยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อน ไม่ร่วมกิจกรรม ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการฮิคิโคโมริ ซินโดรม ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนและถูกวิธี ก็อาจจะนำไปสู่ความผิดปกติทางจิตเวชอื่นๆ ได้

สาเหตุของอาการฮิคิโคโมริ ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาที่มีประสบการณ์ในการรักษาหรือให้คำปรึกษาผู้ที่มีอาการนี้ วิเคราะห์สาเหตุว่าอาจมาจากความผิดหวัง Get More Infoอย่างรุนแรงต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง การถูกกลั่นแกล้งที่สร้างผลกระทบต่อจิตใจ ให้เกิดความรู้สึกแย่ หมดความมั่นใจ รู้สึกไม่เข้าพวก แรงกดดันจากคนรอบข้าง ทำให้เกิดความเครียด จนในที่สุดก็เริ่มกลัวการเข้าสังคม อ่อนไหวกับคำพูดเชิงวิจารณ์ที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่แย่ เป็นคนผิด เริ่มโทษตัวเอง ปฏิเสธความจริง และหนีปัญหา ตัดขาดจากโรคภายนอก และจะเก็บตัวอยู่ในเฉพาะที่ที่เป็น Safety Zone และ Comfort Zone ของตัวเอง

เนื่องจากฮิคิโคโมริ ซินโดรม เป็นภาวะผิดปกติทางจิตใจ จึงไม่แสดงความเจ็บป่วยทางร่างกาย แต่สังเกตได้จากพฤติกรรมการเก็บตัวอยู่ในห้องคนเดียว ไม่พบปะผู้คน ไม่ไปเล่นกับเพื่อนฝูง ซึ่งจริง ๆ ควรจะเป็นไปตามวัย มักจะใช้เวลาอยู่กับการเล่นเกม ดูหนัง ดูทีวี อ่านการ์ตูน หรือสิ่งใดก็ตามที่ถึงขั้นหมกมุ่น เพื่อให้ตัวเองอยู่ไกลจากโลกภายนอกให้มากที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรับรู้ปัญหา หรือความกดดันจากภายนอก

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/ambermb-3121132/

รู้ให้ทันเพื่อระวัง ป้องกัน และรักษา “ฮิคิโคโมริ ซินโดรม”

ทั้งนี้พ่อแม่ผู้ปกครองควรสังเกตอาการของเด็กอย่างใกล้ชิด ว่าพฤติกรรมของลูกหลานผิดปกติไปจากเด็กทั่วไปในวัยเดียวกันหรือไม่ นี่จึงเป็นภัยเงียบที่จะมองข้ามไม่ได้เด็ดขาด เพราะถ้าอาการรุนแรงขึ้นอาจถึงขั้นทำร้ายตัวเอง หรือทำร้ายคนรอบข้างได้ เพื่อให้ตัวเองหลุดจากความเครียด ความกดดันต่างๆ

แนวทางการรักษา ต้องพึ่งการเยียวยาทางจิตใจเป็นอันดับแรก เริ่มต้นจากคนรอบข้างต้องให้กำลังใจ ไม่มองว่าเด็กผิดปกติ และระวังการสร้างความกดดันใหม่ให้กับเด็ก ด้วยการปรับพฤติกรรมทุกอย่างให้เป็นไปในแง่บวก เช่น เปลี่ยนการดุด่าว่ากล่าวแรง ๆ หรือลงโทษเมื่อเด็กมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม มาเป็นค่อยๆ พูดคุยสร้างความเข้าใจและให้โอกาสแก้ไขปรับปรุงตัว หาเวลาทำกิจกรรมกับเด็กให้ใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อพาเด็กออกมาจากห้องแคบๆ กินข้าว ดูหนัง ไปเที่ยวไกล ๆ บ้างตามโอกาส เป็นการสร้างความคุ้นเคยกับโลกภายนอก

จะเห็นได้ว่าครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญ พ่อแม่ผู้ปกครองต้องคอยสังเกตดูแลเอาใจใส่ การสร้างความมั่นใจให้เด็กกล้าออกไปเผชิญโลกภายนอก ฟังให้มากกว่าพูด ฟังเสียงเด็ก ฟังความคิดของเด็ก ชื่นชมและไว้ใจในตัวเด็กให้มากขึ้น DooDiDo คิดว่าตรงส่วนนี้จะช่วยสร้างความมั่นใจในตัวเอง ความกล้าคิดกล้าลงมือทำ และเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง จนในที่สุดเด็กจะมีกำลังใจในการต่อสู้กับตัวเองเอง แต่หากไม่มีแนวโน้มดีขึ้น ก็ควรพาไปพบจิตแพทย์เพื่อทำการรักษา อาจต้องใช้เวลาและใช้ความพยายามที่จะเข้าใจ โอกาสที่เด็กจะกลับมาเข้าสังคมได้ปกติก็มี และเติบโตเข้าสู่วัยต่อไปได้อย่างมีคุณภาพ

ขอบคุณแหล่งที่มา: www.thaihealth.or.th