พัฒนาการของเด็กวัยอนุบาล ที่พ่อแม่ต้องศึกษาทำความเข้าใจ!!!

WM

พัฒนาการของเด็กวัยอนุบาล เริ่มจากอายุ 2-5 ปี

หากเราพูดถึงพัฒนาการของลูก คุณแม่อาจจะรู้ดีเพราะส่วนใหญ่แล้วคุณแม่จะใกล้ชิดกับลูกมากที่สุด และการดูแลลูกแต่ละวัยนั้นก็แตกต่างกัน อย่างเด็กวัยอนุบาล เป็นวัยที่เริ่มต้นในการที่พร้อมที่จะเรียนรู้การใช้ชีวิตนอกบ้าน การมีสังคม การมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น โดยพัฒนาการของเด็กวัยอนุบาล เริ่มจากอายุ 2-5 ปี ระยะนี้เป็นระยะที่มีการเปลี่ยนแปลงของบุคลิกภาพมากที่สุด เช่น ต้องการเป็นตัวของ ตัวเองค่อนข้างดื้อ ซุกซนมาก ในบางครั้งความคิดและการกระทำของเด็กๆจะไม่ตรงกับความเป็นจริง

เด็กวัยอนุบาล จะมีพัฒนาการที่สำคัญ 4 ด้านคือพัฒนาการด้านร่างกาย ส่วนแขนและขายาวออกไป ศีรษะได้ขนาดกับลำตัว โครงกระดูกแข็งแรงขึ้น ฟันแท้จะเริ่มขึ้น 1-2 ปี เริ่มมีทักษะการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น แต่งตัวได้ ใส่รองเท้าและอาบน้ำได้

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/bessi-909086/

พัฒนาการด้านอารมณ์ มักเป็นคนเจ้าอารมณ์หงุดหงิดและโกรธง่าย ดื้อรั้น เป็นวัยที่เรียกว่าชอบปฏิเสธและอาการดังกล่าวจะค่อยๆ หายไปเองเมื่อเด็กเข้าโรงเรียน แต่อย่างไรก็ตามพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กจะมั่นคงเพียงใดขึ้นอยู่กับการอบรมเลี้ยงดูเป็นสำคัญ

พัฒนาการด้านสังคม เริ่มรู้จักคบเพื่อน ปรับตัวรู้จักร่วมมือ ยอมรับฟัง รู้จักแข่งขันระหว่างกลุ่ม 4-5 ขวบ และมักเล่นกับเพศเดียวกัน

พัฒนาการด้านภาษา เริ่มใช้ภาษาได้ดี ขึ้นรู้จักศัพท์เพิ่มขึ้นมากขึ้น พ่อแม่มีส่วนร่วมการพัฒนาการทางภาษาของเด็กมาก เช่น การชักจูงให้เด็กพูด ซักถาม การแนะนำที่ดี การเน้นคำให้ถูกต้อง เมื่อพูดกับเด็กผู้ใหญ่ยอมรับฟังการพูดคุยของเด็กจะช่วยให้เด็กรู้จักพูดในสิ่งที่มีสาระยิ่งขึ้น

ลักษณะพฤติกรรมทางจิตใจที่พบได้บ่อยในวัยนี้ คือ

1. ความอิจฉาน้อง พบได้บ่อยในวัยนี้ เด็กอาจแสดงออกโดยการทุบตีน้อง เย้าแหย่น้อง หรือแสดงความประพฤติไม่เหมาะสม เช่น ดูดนิ้ว พูดติดอ่าง กินอาหารน้อยลง นอนไม่หลับ ปัสสาวะรดที่นอน เป็นต้น โดยมากจะเห็นชัดเมื่ออายุระหว่าง 2-4 ปี

สาเหตุ

  • พ่อ แม่ ผู้ใหญ่อาจเป็นต้นเหตุ เช่น กล่าวกับเด็กว่า “แม่ไม่รักแล้วรักน้องดีกว่า” การเปรียบเทียบเด็กกับน้องๆ ว่าน้องเก่งกว่า น่ารักกว่า การกล่าวชมเชยให้ความสนใจน้องอย่างเกินควรด้วยคำพูดและการกระทำ
  • เกิดจากน้อยใจว่าพ่อแม่รักน้องมากกว่า รู้สึกว่าตนสูญเสียความรักที่เคยได้รับจากพ่อแม่ และน้องเป็นผู้ทำให้พ่อแม่รักตนน้อยลง
  • เด็กในวัยนี้ยังต้องการความรัก ความเอาใจใส่อยู่เสมอ เด็กยังไม่รู้จักแบ่งปัน เขายังถือตนเป็นใหญ่อยู่ และยังไม่เข้าใจเหตุผลดีพอเมื่อได้รับการสนใจน้อยลง
  • ขาดการอบรมที่ดีพ่อแม่ให้การตามใจทำให้เป็นคนไม่ยอมใคร
WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/tawnynina-1041483/

วิธีแก้ไข

  • บอกให้เด็กรู้ล่วงหน้าว่าตนจะมีน้องใหม่ แม่ควรให้เด็กคุ้นเคยกับน้องในท้อง
  • อธิบายให้เด็กเข้าใจว่าตนมีส่วนเป็นเจ้าของน้องที่จะเกิดใหม่ และให้ความมั่นใจกับเด็กว่าเขาก็ยังเป็นผู้หนึ่งที่ท่านรักและภูมิใจอยู่เสมอ
  • หากต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่งภายในบ้าน ควรชี้แจงให้เด็กทราบด้วยเหตุผล
  • ผู้ที่ดูแลเด็กที่บ้านขณะแม่ไปคลอดควรเป็นผู้ที่คุ้นเคย
  • เมื่อแม่กลับจากโรงพยาบาลใหม่ๆ อาจจะให้คนพาเด็กไปเล่นข้างนอก เพื่อไม่ให้เด็กเห็นความชุลมุนวุ่นวายกับการจัดที่ทางให้น้องใหม่และท่าที่คนอื่นๆ ในบ้าน ที่พากันมาสนใจน้องใหม่
  • พยายามให้เด็กมีส่วนร่วมในการดูแลน้อง ควรเตรียมให้เขารู้ว่าการเป้นพี่นั้นดีอย่างไรและสำคัญอย่างไร เขาจะทำอะไรให้น้องได้บ้าง
  • พ่อแม่ควรให้ความสนใจแก่เด็กตามสมควรเมื่อมีญาติเพื่อนฝูงมาเยี่ยมน้องใหม่
  • ไม่แสดงความรักและสนใจน้องจนออกนอกหน้าเกินควร
  • ผู้ใหญ่พ่อแม่ควรระวังคำพูดหรือจะกระทำใดๆ ที่ทำให้เด็กเสียกำลังใจหรือเป็นปมด้อย
  • เมื่อน้องโตเล่นกับพี่มีทะเลาะกัน พ่อแม่ควรทำตัวเป็นกลางไม่เข้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
  • เวลาซื้อของใหม่ให้น้องควรซื้อให้พี่ด้วย
  • ถ้าเด็กดีต่อน้องควรให้รางวัลตามสมควร

2. ความดื้อ เป็นความรู้สึกต่อต้านโดยเฉพาะในช่วงอายุ 2-3 ปี ซึ่งอยู่ในระยะปฏิเสธ ไม่ยอมใคร จะดื้ออย่างที่เขาต้องการทำเท่านั้น อาจเนื่องมาจากความไม่เข้าใจกันระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่บังคับเกินกว่าเหตุตั้งกฎเกณฑ์มากเกินไป

วิธีแก้ไข

1.ผู้ใหญ่พ่อแม่ควรร่วมมือกันในการอบรมเด็กไม่ขัดแย้งกันไม่กล่าวโทษกัน

2.ตั้งกฎเกณฑ์ที่เด็กสามารถทำได้ตามวัย

3.เวลาเด็กทำอะไรควรช่วยแนะนำในแนวทางที่เหมาะสมด้วยเหตุด้วยผล

4.งดการดุและการลงโทษพร่ำเพรื่อไม่บังคับเด็กจนเกินไป

5.ให้คำชมเชยหรือรางวัลเมื่อเด็กทำดี

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/timkraaijvanger-426744/

แนวทางในการเลี้ยงดูอบรมเด็กให้มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี

1.ให้เด็กได้รับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและเพียงพอ

2.ให้เด็กได้พักผ่อนนอนหลับออกกำลังกายที่เหมาะสมกับเด็ก

3.พาไปตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนกับแพทย์เป็นระยะๆ เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยและพิการด้วยโรคต่างๆ

4.ช่วยฝึกหัดให้กำลังใจเด็กเมื่อเริ่ม คลาน นั่ง ยืน เดิน และพูด

5.สนับสนุนให้เด็กได้เล่นกับเพื่อนในวัยเดียวกัน

6.ให้ความรู้และประสบการณ์โดยการพูดคุย ตอบคำถาม พาไปเที่ยวเมื่อมีโอกาส

7.ส่งเสริมสิ่งที่ดีในตัวลูก อย่าทำให้เกิดปมด้อยโดยการนำไปเปรียบเทียบกับเด็กอื่นๆ

พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูกได้ทำตามในทุกๆ เรื่องปฏิบัติต่อลูกๆ ด้วยความนิ่มนวล เข้าใจความรู้สึกของเด็ก เข้าใจความต้องการของเด็ก จะช่วยให้เกิดสัมพันธภาพอันดีต่อกัน  ต้องรู้จักพูดคุย เอาใจใส่และรู้ถึงความต้องการของเด็กๆ DooDiDo แนะนำลองนำเอาวิธีข้างต้นนี้ไปปรับเปลี่ยนใช้ดูนะคะ

ขอบคุณแหล่งที่มา: www.nakornthon.com