ผู้ปกครองยุคใหม่ควรใส่ใจวิธีการเลี้ยงลูกของคุณอย่างมีคุณภาพ

WM

เพราะความสุขของลูก คือความสุขของพ่อแม่!!

สำหรับคุณพ่อคุณแม่หลายๆ ท่านที่ต้องการจะรู้จักวิธีการเลี้ยงลูกแบบสมัยใหม่นะคะ ซึ่งเราก็เข้าใจได้ว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านล้วนแต่อย่าให้จะเลี้ยงลูกให้เขามีความสุขเสมอ แต่ว่าการเลี้ยงลูกในบางครั้งก็อาจจะเป็นเรื่องที่ผิดแนวทางไปบ้างนะคะ ซึ่งการเลี้ยงลูกนั้นมีวิธีที่ถูกและดีอยู่มาก พวกเรามาลองศึกษากันดูเขาว่าเราควรที่จะมีวิธีการเลี้ยงลูกอย่างไรลูกถึงจะมีความสุขและมีประสิทธิภาพมากขึ้นนะคะ การเลี้ยงลูกให้ประสบความสำเร็จคุณพ่อคุณแม่ควรที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ๆที่ดีต่อลูก เปิดโอกาสให้ลูกน้อยได้เรียนรู้ โดยที่ไม่ไปบังคับฝืนใจเขาให้เป็นอะไรนะคะ เราควรที่จะเลี้ยงลูกให้เติบโตมาอย่างมีความสุข และควรที่จะเป้ฯแบบอย่างที่ดีให้กับพวกเขาอยู่เสมอ ยังไงก็มาลองศึกษาสิ่งดีๆได้จากบทความนี้เลยค่ะ

การเลี้ยงลูกให้ประสบความสำเร็จหรือเป็นไปดั่งใจหมายนั้นใช่เรื่องง่าย พ่อแม่หลายคนอาจทำเรื่องผิดพลาดในการเลี้ยงดูลูก ทั้งอาจเกิดจากความเครียด จากความไม่มั่นใจในวิธีการเลี้ยงดู รวมถึงความคาดหวังต่างๆ ทั้งจากตนเองและคนรอบข้าง แต่เราเชื่อว่าในทุกครอบครัวจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือการมีความรักและความปรารถนาดีที่อยากให้ลูกเป็นคนเก่ง เป็นคนดี และอยู่รอดในสังคม จนบางครั้งอาจทำให้หลงลืมถึงความสุขที่ควรจะเป็นสิ่งสำคัญพื้นฐานในชีวิตและการเป็นครอบครัว เป็นรากฐานของการเป็นคนเก่ง และช่วยให้ลูกสามารถเอาตัวรอดได้ในอนาคต

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@nate_dumlao

รากฐานความสุขของเด็กๆ
The pyramid of happiness หรือพีระมิดของความสุข มีรากฐานสำคัญคือความรัก ความปลอดภัย และความสนุกสนาน เมื่อเด็กๆ มีสิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นฐานที่ดี ที่ทำให้เด็กๆ มีสุขภาพและสมองที่แข็งแรง มีประสาทสัมผัสที่พร้อมรับการเรียนรู้ การฝึกฝนทักษะต่างๆ ที่สำคัญนอกจากการเรียนหนังสือ เช่น

  • การรู้จักช่วยเหลือตนเองและช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งเป็นรากฐานของความรับผิดชอบ
  • การจัดการอารมณ์ ทักษะทางสังคม เพื่อการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
  • การได้ทำในสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ เพื่อให้เกิดความอดทน
  • การควบคุมตนเองให้อยู่ในกฏของบ้าน เพื่อให้เกิดการยับยั้งชั่งใจ
  • และที่สำคัญการมีความคิดสร้างสรรค์และการจัดการปัญหา

เมื่อเด็กมีรากฐานเหล่านี้ที่เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ก็จะเกิดความมั่นใจในความสามารถของตนเอง มั่นใจว่าตัวเองจะแก้ไขและจัดการปัญหาต่างๆ ได้ เมื่อนั้นความสุขก็จะเกิดขึ้น

ความสนุกสนานก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ เพราะเมื่อเด็กเกิดอารมณ์สนุก สมองจะมีการตื่นตัว มีการเปิดรับ ทำให้ร่างกายอยู่กับสิ่งนั้นๆ ได้ดีขึ้น ในทางกลับกันถ้าเด็กอยู่ในสภาวะกลัว กังวล หรือความรู้สึกไม่ปลอดภัย ความรู้สึกเหล่านี้จะส่งผลเสียต่อสมองในการเรียนรู้ ทำให้การเรียนรู้เกิดขึ้นช้าลง และต้องเสียสมองส่วนหนึ่งไปกับการคิดเอาตัวรอดหรือกังวลเรื่องนั้นๆ เด็กๆ ก็อาจจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้ดีนัก

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@nci

แนวทางสู่ความสำเร็จ
สิ่งสำคัญที่เด็กๆ ต้องทำเมื่ออยู่ในวัยเรียน (อายุ 6 ปีขึ้นไป) ก็คือการเรียนให้ได้ผลดี ซึ่งเคล็ดลับหรือแนวทางที่จะทำให้ประสบความสําเร็จในการเรียนไปจนถึงในเรื่องงานเมื่อพวกเขาโตขึ้น นั่นก็คือ หลักอิทธิบาท 4 หรือหนทางแห่งความสำเร็จตามหลักพระพุทธศาสนา ซึ่งประกอบด้วย

  1. ฉันทะ คือความพอใจ รักใคร่ในสิ่งนั้น
  2. วิริยะ คือความพากเพียรในสิ่งนั้น
  3. จิตตะ คือความเอาใจใส่ ฝักใฝ่ รับผิดชอบในสิ่งนั้น
  4. วิมังสา คือความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น ใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งที่ทำ ซึ่งถ้าเรารักเราชอบ มีความพยายาม แต่ขาดการไตร่ตรองว่าวิธีที่เราทำมันได้ผลไหม โอกาสที่ทำแล้วเสียเปล่าก็มีได้มาก ซึ่งเมื่อพิจารณาให้ลึกลงไป หลักทางพุทธศาสนาก็สอดคล้องกับ pyramid of happiness หรือพีระมิดแห่งความสุข

เด็กรู้หน้าที่ย่อมเติบโตไปในทุกทาง
เมื่อเด็กเข้าเรียนในโรงเรียนก็จะต้องมีการบ้านที่ครูมอบหมายให้ทำ โดยมีจุดประสงค์เพื่อฝึกทักษะ ความรับผิดชอบ การบริหารเวลา และทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้ ในปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการเรียนออนไลน์ เด็กๆ ก็จะได้รับงานส่วนนี้มากขึ้น ซึ่งย่อมจะสร้างความเครียดให้กับทั้งเด็กและผู้ปกครอง คุณหมอมีคำแนะนำที่จะช่วยลดความเครียดในจุดนี้ลงได้ โดยให้พ่อแม่ต้องยึดหลักว่า “อย่าไปแย่งงานของคนอื่น” โดยให้คิดดังนี้

  1. การบ้าน คือ“งานของลูก” ไม่ใช่งานของพ่อแม่ ลูกต้องเป็นคนทำ เพื่อทบทวน ฝึกความรับผิดชอบ ฝึกความอดทนเมื่อเจองานยาก และฝึกการแก้ปัญหา การทำไม่ได้หรือไม่เข้าใจเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการทำถูกหรือทำผิด
  2. ไม่มีงานที่เพอร์เฟกต์ คือไม่จำเป็นต้องตรวจการบ้านลูกว่าถูกหรือผิด เพราะนั่นเป็นหน้าที่ เป็น“งานของครู” ถ้าเราแก้การบ้านให้ลูก จนลูกทำถูกหมด ครูจะไม่รู้เลยว่าลูกทำไม่ได้ข้อไหน หรือไม่เข้าใจตรงไหนบ้าง
  3. งานหรือหน้าที่ของพ่อแม่มีสองอย่างคือ
    • การช่วยสอดส่องดูว่าลูกได้ทำการบ้านตามที่ได้รับมอบหมายหรือไม่ และ
    • การฝึกทักษะอื่นๆ ให้ลูกมี ก่อนที่จะไปโรงเรียนและทั้งขณะที่ไปเรียนแล้ว คือ สามารถช่วยเหลือตนเองและผู้อื่น มีความอดทนพยายาม ความรับผิดชอบ สมาธิ การแก้ปัญหา การผ่อนคลายเมื่อมีความเครียด นั่นคือสิ่งที่พ่อแม่ต้องไม่ลืมที่จะเสริมสร้างให้กับลูก เพื่อให้ลูกสามารถเรียนได้อย่างมีความสุข
WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@surfac

ขอแถมด้วยเรื่องการติวข้อสอบให้ลูก คุณหมอยังเจอหลายๆ บ้านที่ช่วยลูกอยู่ ก็อยากให้ยึดหลักเช่นเดียวกันว่า “ไม่ใช่งานของเรา” และ “การสอบไม่ใช่สิ่งที่สำคัญมาก” การสอบเป็นเพียงการประเมินว่าลูกสามารถเรียนรู้ได้เข้าใจ สามารถนำไปใช้ได้แค่ไหน ซึ่งถ้าเราไปแย่งงานของลูก ลูกจะขาดโอกาสในการฝึกการคิดวิเคราะห์ การจัดตารางเวลาของตนเอง การวางแผน การสรุปสิ่งสำคัญในการเรียนรู้ ซึ่งทักษะนี้จะเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เยอะ ใช้แยกแยะว่าอะไรสำคัญ ไม่สำคัญ จัดเรียงลำดับความสำคัญได้

การที่พ่อแม่ใจจดจ่อกับผลสอบของลูกมาก ลูกก็จะเกิดความเครียด และจะมองแต่ผล มากกว่ามองว่าที่ผ่านมาเขามีความตั้งใจ และได้พยายามมากน้อยแค่ไหน ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญกว่าผลสอบเสียอีก อยากให้พ่อแม่ลองนึกดูว่า เรายังจำผลสอบสมัยเราเป็นเด็กได้ไหม ซึ่งมาถึงตอนนี้มันก็ไม่ได้สำคัญเลยว่าตอนนั้นจะได้คะแนนมากน้อยเท่าไหร่ จริงไหม?

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ ได้พบกับสิ่งที่น่าสนใจในความมีการไปแล้วนะคะบทความข้างต้นที่ DooDiDo ได้เสนอถึงการเลี้ยงลูกในแบบยุคสมัยใหม่นะคะสิ่งที่สำคัญก็คือพวกเขาอยู่ในฐานของความสุขของเด็กค่ะเด็กควรจะมีความสุขในทุกๆช่วงวัยที่กำลังเติบโตค่ะพวกเขาพร้อมที่จะสัมผัสกับการเรียนรู้ด้วยตัวเองโดยคุณพ่อคุณแม่สามารถที่จะเป็นตัวกลางในการช่วยสอนให้พวกเขามีทั้งความคิด ความรู้ทั่วไปในแนวทางที่ดีได้ค่ะ คุณแม่และคุณพ่อควรที่จะสร้างกฎบางข้อที่เอาไว้สอนลูกให้พวกเขารู้ว่าสิ่งไหนผิดสิ่งไหนถูกนี่ก็เป็นอีกหนึ่งกระบวนการที่จะทำให้ลูกของคนนั้นมีความสุขได้เช่นกันค่ะขอบคุณค่ะ

ขอบคุณแหล่งที่มา : www.phyathai.com