จริงหรือไม่!! สัตว์เลี้ยงช่วยให้เราลดความเหงา คลายความเศร้าได้

WM

ในช่วงวิกฤตนี้ให้สัตว์เลี้ยงช่วยดูแลสุขภาพจิตใจของคุณ

ในช่วงนี้ต้องยอมรับว่าทุกคนต่างมีความเครียดในสถานะการที่ของแพง น้ำมันแพง การใช้ชีวิตจึงต้องประหยัดกันมากขึ้นทุกครอบครัวก็ว่าได้ค่ะ และโดยปกติแล้วเวลาคนเราจะคลายเครียดจากอะไรซักอย่างแล้วก็จะมีวิธีคลายเครียดที่แตกต่างกันไปใช่มั้ยล่ะคะ อย่างบางคนอาจจะฟังเพลง เขียนไดอารี่ แช่น้ำอุ่นๆ หาของอร่อยทาน หรืออาจจะอ่านหนังสือ ก็ตามแต่ ซึ่งวิธีแต่ล่ะอย่างนั้นทุกคนต่างก็เลือกทำเป็นประจำเพื่อคลายเครียด และยิ่งในช่วงวิกฤตจากรคระบาดนี้ทำให้หลายๆคนก็มีความเครียดที่ไม่ได้ออกไปไหน ไม่ได้ออกไปทำกิจกรรมอะไรต่างๆมากมายอีกเหมือนเคย ดังนั้นแล้วในวันนี้เราจึงมาเสนอทางเลือกดีๆ ให้กับคนเหงาๆ เครียดๆ ในช่วงวิกฤตนี้ค่ะ

ในช่วงเหงาๆ จากการกักตัวอยู่ในบ้าน สำหรับใครหลายๆ คน แค่มีสัตว์เลี้ยงก็อาจไม่ต้องการอะไรอีกแล้วล่ะ เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าสัตว์เลี้ยงช่วยให้เราเครียดหรือกังวลน้อยลง ลดความเหงา คลายความเศร้า และยังยกระดับอารมณ์ของเราได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ในเชิงจิตวิทยา สัตว์เลี้ยงมีผลต่อสุขภาพจิตเจ้าของอย่างมาก เพราะจากผลการศึกษาโดยนักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยไมอามี พบว่าคนที่เป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงจะมีความซื่อตรง ความจริงใจ และเข้าสังคมเก่ง รวมไปถึงมีความภาคภูมิใจหรือ Self-esteem ที่สูงอีกด้วย

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/rebeccaspictures-18516/

ในส่วนของข้อดีในทางกายภาพก็มีเช่นกัน ผลวิจัยจากนักจิตวิทยาเกี่ยวกับประโยชน์ของการมีสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน พบว่าการมีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์เลี้ยงจะช่วยให้อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด และระดับคอร์ติซอล (ฮอร์โมนแห่งความเครียด) ลดต่ำลง ในขณะเดียวกันฮอร์โมนแห่งความสุขอย่างโดพามีนและออกซิโทซินก็จะเพิ่มสูงขึ้นนั่นทำให้เวลามีสัตว์เลี้ยงในบ้าน (โดยเฉพาะตอนนี้) เราจึงสามารถผ่านพ้นวิกฤตแย่ๆ หรือการแยกตัวออกจากสังคมได้ง่ายมากขึ้น เพียงแค่หันไปเห็นท่าทีที่ตลกปนใสซื่อ เสียงร้องน่ารักๆ ท่าทางที่ออดอ้อน หรือเพียงแค่สัมผัสตัวพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นกอด จูบ หอม หรือลูบหัว เครื่องส่งสัญญาณประสาทก็จะเพิ่มระดับฮอร์โมนแห่งความสุขนั้นให้สูงขึ้นทันที ช่วยให้วันนั้นไม่หดหู่จนเกินไป

หรือแม้แต่การนั่งนึกถึงสัตว์เลี้ยงเฉยๆ ก็ช่วยปัดเป่าความเศร้าจากการถูกปฏิเสธหรือการแยกตัวออกจากสังคมได้เหมือนกัน เพราะขณะที่เรากำลังคิดถึงขนนุ่มๆ หรือท่าทางใสซื่อของเจ้าเหมียวที่บ้าน ก็เปรียบเสมือนเป็นการเบนความคิดเราออกจากเรื่องที่กำลังวิตกกังวลได้

แต่สำหรับใครที่ไม่มีสัตว์เลี้ยง นี่ถือเป็นโอกาสดีที่จะลองอุปการะสัตว์เลี้ยงจากมูลนิธิต่างๆ ล่าสุดในหลายรัฐทั่วสหรัฐอเมริกาก็มีรายงานว่ามีผู้อุปการะสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น ซึ่งสาเหตุก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไรนัก เพราะผู้คนกำลังฝึกฝนกับการกักตัวอยู่คนเดียวและเว้นระยะห่างจากผู้คนด้วยกันเอง ซึ่งสิ่งที่จะสามารถอยู่เป็นเพื่อนพวกเขาได้ในขณะนี้ก็คงมีแต่สัตว์เลี้ยง นอกเหนือจากงานอดิเรกอื่นๆ เช่น การปลูกต้นไม้ ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงนี้เช่นกัน

Dogs Trust มูลนิธิเพื่อการกุศลด้านความเป็นอยู่ของสุนัขในประเทศอังกฤษ เผยว่ามีการรับเลี้ยงสัตว์เพิ่มมากขึ้นถึง 25% แต่สิ่งที่อยากเตือนก็คือสุนัขเหล่านี้มีไว้เพื่อเลี้ยงดู ไม่ใช่มีไว้เพื่อแก้เหงาในช่วงวิกฤตโรคระบาดเพียงอย่างเดียว

“เราอยากให้ผู้คนตระหนักถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากการล็อกดาวน์ประเทศ หรือในตอนที่ทุกคนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองแล้ว” อดัม โคลเวส ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของมูลนิธิ Dogs Trust กล่าว

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/cparks-1593059/

บางคนอาจกลัวว่าไวรัสจะติดมากับน้องๆ เหล่านี้หรือเปล่า แต่จากข้อมูล ณ ปัจจุบัน พบความเสี่ยงต่ำที่สัตว์เลี้ยงจะเป็นพาหะแพร่เชื้อไวรัสโคโรนาสู่คน เพราะไวรัสโคโรนาที่อยู่ในสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขหรือแมว จัดอยู่ในประเภทอัลฟาโคโรนา (Alphacoronaviruses) ซึ่งจะติดต่อแค่ในสัตว์ชนิดเดียวกันเท่านั้น

สถานพักพิงสัตว์เลี้ยงหลายแห่งก็ออกมาเรียกร้องให้ผู้คนอุปถัมภ์สัตว์เพิ่มมากขึ้น และพบว่าการหลั่งไหลของผู้คนที่เข้ามาจะสังเกตได้ถึงความเมตตาและการดูแลเอาใจใส่ที่แท้จริง แต่ก็มีเรื่องที่น่ากังวลใจว่าถ้าผ่านช่วงกักตัวไป สัตว์เหล่านี้จะถูกทอดทิ้งอีกครั้งหรือไม่

อย่างไรแล้วถ้าหากได้ลองเลี้ยงสัตว์อะไรแล้ว DooDiDo เชื่อได้เลยว่า ยังไงก็จะช่วยคลายเครียดให้กับทุกคนได้แน่นอนล่ะค่ะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนเหมาะที่เลี้ยงสัตว์เพื่อคลายเครียดหรอกนะคะ เพราะการรับเลี้ยงสัตว์เลี้ยงนั้นเราจะต้องศึกษาธรรมชาติ ความเป็นอยู่ของพวกมันให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจเลี้ยงแต่ควรที่จะเตรียมใจรับมือถ้าหากว่า เจ้าสัตว์เลี้ยงสุดรักของเรานั้นจะป่วย หรือไม่สบาย เราก็จะต้องพร้อมดูแลพวกเค้า และพวกเค้าก็จะช่วยเยียวยาพวกคุณทุกคนได้เองล่ะค่ะ

ขอบคุณแหล่งที่มา: https://thestandard.co