จริงหรือไม่การทาน “น้ำตาล” มากเกินไปเสี่ยง“แก่เร็ว”

WM

การบริโภคอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูง สามารถกระตุ้นกระบวนการดังกล่าวให้เกิดได้เร็วและมากขึ้น

หลายคนชอบอาหารที่มีรสหวานมาก รู้ว่าอร่อยมากแต่โทษของความหวานที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบยังมีตามมาอีกมากมาย นอกจากน้ำตาลที่มากเกินไปนั้นจะเป็นศัตรูกับร่างกายในแง่ของการเพิ่มไขมันหนารอบเอว ต้นขา สะโพก แล้วยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน และโรคอันตรายอื่นๆ แล้ว น้ำตาลยังเป็นศัตรูกับความงาม เพราะทำให้เราดูแก่เร็วกว่าเดิมด้วยจริงหรือ

น้ำตาลเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของคาร์โบไฮเดรต โดยปกติจะพบน้ำตาลได้ในอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม เป็นต้น ซึ่งอาหารดังกล่าวล้วนประกอบไปด้วยสารอาหารอื่น ๆ ที่สำคัญต่อร่างกายด้วย ไม่ว่าจะเป็นแร่ธาตุ วิตามิน โปรตีน เส้นใยอาหาร หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้น การบริโภคน้ำตาลตามธรรมชาติที่มีอยู่ในอาหารแบบไม่ผ่านกรรมวิธีการผลิตจึงมักไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@fochrist1

ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ระบุว่า น้ำตาลเป็นส่วนผสมที่นิยมนำมาใช้ในอาหารและเครื่องดื่ม มีรสชาติหวาน ถูกปาก แต่การบริโภคน้ำตาลปริมาณมาก ไม่เพียงแต่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด เท่านั้น แต่ยังมีความสัมพันธ์กับการเกิดริ้วรอยและภาวะแก่ก่อนวัยอีกด้วย โดยน้ำตาลที่บริโภคเข้าไปจะถูกย่อยเป็นหน่วยเล็กๆ และดูดซึมเข้ากระแสเลือดอย่างรวดเร็ว น้ำตาลในเลือดเหล่านี้สามารถจับกับโปรตีนอีลาสตินและคอลลาเจน เกิดเป็นสารประกอบที่มีชื่อว่า Advanced glycation end products หรือ AGEs ซึ่งส่งผลให้โปรตีนอีลาสตินและคอลลาเจนเสื่อมสภาพ ทำให้ความยืดหยุ่นของผิวหนังลดลง เกิดการหย่อนคล้อย

โดยทั่วไปแล้ว เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นการสะสมของ AGEs บริเวณผิวหนังจะเพิ่มมากขึ้นด้วย แต่การบริโภคอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูง สามารถกระตุ้นกระบวนการดังกล่าวให้เกิดได้เร็วและมากขึ้น ทำให้เกิดริ้วรอยและแก่ก่อนวัย ดังนั้น ควรบริโภคน้ำตาลในปริมาณที่เหมาะสม โดยองค์การอนามัยโลกได้แนะนำปริมาณน้ำตาลที่ควรบริโภคคือ ไม่ควรเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@sharonmccutcheon

ปริมาณน้ำตาลที่ควรบริโภคต่อวัน

น้ำตาลที่มากเกินไปเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) จึงแนะนำให้ผู้ใหญ่และเด็กบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม/วัน

อย่างไรก็ตาม บางคนกลับบริโภคน้ำตาลเกินมาตรฐานของกรมอนามัยโลกไปมาก โดยอาจบริโภคสูงสุดถึง 20 ช้อนชา/วัน คนวัยทำงานเป็นคนกลุ่มหลักที่บริโภคน้ำตาลในปริมาณมาก เพราะมีศักยภาพในการใช้จ่ายด้วยตนเอง และลักษณะการทำงานในปัจจุบันยังเอื้อต่อการกินอาหารและเครื่องดื่มที่เติมน้ำตาลเข้าไป ซึ่งเครื่องดื่มและน้ำผลไม้เติมน้ำตาลอย่างน้ำอัดลม น้ำหวาน กาแฟ หรือชานมไข่มุก ถือเป็นแหล่งที่มาของน้ำตาลในอันดับต้น ๆ โดยปริมาณน้ำตาลที่ใช้กับอุตสาหกรรมเครื่องดื่มนั้น นับว่าสูงที่สุดในบรรดาน้ำตาลที่ถูกบริโภคทางอ้อม

ทั้งนี้ ปริมาณน้ำตาลโดยประมาณในเครื่องดื่มที่คนทั่วไปนิยมบริโภค มีดังนี้

ชาเขียว 500 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 14.5 ช้อนชา
กาแฟสด 475 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 10.5 ช้อนชา
น้ำอัดลม 450 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 10.75 ช้อนชา
นมเปรี้ยว 400 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 19 ช้อนชา
ชานมไข่มุก 350 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 11.25 ช้อนชา
น้ำผลไม้ 200 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 6.25 ช้อนชา

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/stocksnap-894430/

วิธีลดการบริโภคน้ำตาลอย่างง่ายๆ

  1. ลดการบริโภคเครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาลเป็นส่วนผสมจำนวนมาก เช่น ชา กาแฟที่ใส่น้ำตาล ช็อกโกแลต โกโก้ นมปั่น ชานม ชานมไข่มุก น้ำหวานต่างๆ รวมถึงน้ำผลไม้ และน้ำอัดลมด้วย
  2. ลดการบริโภคขนมจุบจิบ ขนมอบกรอบที่มีน้ำตาลสูงต่างๆ
  3. บริโภคผักผลไม้ให้มากขึ้น แต่ระมัดระวังผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง ไม่ควรกินมากเกินไป เช่น มะม่วงสุก ทุเรียน เงาะ ขนุน น้อยหน่า ลำไย เป็นต้น

ได้ข้อมูลแล้วนะคะ DooDiDo หวังว่าทุกท่านจะได้ประโยชน์จากข้อมูลในเบื้องต้นนี้ว่าถ้าหากร่างกายรับน้ำตาลมากเกินไป จะเกิดโทษมากมายโดยเฉพาะเสี่ยงแก่เร็ว  เพราะริ้วรอยเป็นสัญญาณของความชรา ซึ่งอาหารหรือเครื่องดื่มเติมน้ำตาลอาจก่อให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ เพราะการกินอาหารประเภทนี้ปริมาณมากเป็นประจำทำให้ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เมื่อโมลกุลของน้ำตาลเข้าไปจับกับโปรตีนจะก่อให้เกิดสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า AGEs (Advanced Glycation End-Products) ซึ่งสามารถทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว ส่งผลให้ผิวหนังหย่อนคล้อย เกิดริ้วรอย และจุดด่างดำตามมาได้หากลดปริมาณลงจะทำให้หลีกเลี่ยงเรื่องนี้ได้ เพื่อสุขภาพของตนเองค่ะ

ขอบคุณแหล่งที่มาข้อมูล : www.sanook.com, www.pobpad.com