ความจริงเกี่ยวกับกลิ่นตัว ที่คุณอาจไม่เคยรู้!!

WM

กลิ่นตัวนั้นจริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่ แล้วจะจัดการอย่างไรให้ดี

เรื่องของกลิ่นตัวนั้นหาก เกิดกับใครแล้ว ใครก็ต้องกังวล.. เราต้องไม่ปล่อยให้ปัญหานี้มาเบรกความมั่นใจของเรา มาดูกันว่าความเชื่อต่างๆ เกี่ยวกับกลิ่นตัวนั้นจริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่ แล้วจะจัดการอย่างไรให้ดี เรามีหาต้นตอของกลิ่นกายกันดีกว่า

จริงๆ แล้วเหงื่อนั้นไม่มีกลิ่น แต่หลังจากที่เหงื่ออยู่บนผิวระยะเวลาหนึ่ง เกี่ยวกับสิ่งตกค้างหมักหมมบนผิวหนังจึงทำให้มีแบคทีเรียสะสม ก็จะมีกลิ่นไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะส่วนที่อับชื้น เช่น ใต้วงแขน และตามข้อพับต่างๆ จึงจำเป็นต้องดูแลผิวบริเวณดังกล่าวเป็นพิเศษนั่นเอง 

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@johnfo

อาบน้ำเย็น ช่วยลดเหงื่อได้ ?

ช่วยได้จริง.. แต่แค่ไม่นาน ไม่ว่าจะอากาศเมืองไทย ยังไง๊ ยังไงก็ร้อนเหงื่อท่วมอยู่ดี หรือจะอากาศเย็นที่ต่างประเทศก็มีเหงืออับอยู่ในเสื้อผ้าอยู่ดี วิธีที่ดีและได้ผลคือหลังอาบน้ำเสร็จ ทาหรือฉีดที่ดับกลิ่นกายให้ทั่วบริเวณที่ปกป้องได้ยาวนานและไม่มีสารเคมีที่ทำร้ายผิว ด้วยผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายและลดเหงื่อจากธรรมชาติ จะได้ไร้กังวลเรื่องกลิ่นตลอดวัน แถมมั่นใจได้ว่าผิวบอบบางใต้วงแขนจะไม่ระคายเคือง

ต้องทุกอย่างจากธรรมชาติ ถึงจะช่วยเรื่องกลิ่นตัวได้อยู่หมัดหรือ ?

แม้เราจะหุ่นเป๊ะ หุ่นดี ผิวสวยใสปานใด แต่หากลองมีกลิ่นตัวขึ้นมาความรู้สึกประทับใจที่มีอยู่จะลดฮวบไปอย่างอัศจรรย์เลยหละ เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่หลายๆคน ไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาด แต่จะให้ทำอย่างไรดีล่ะ? วันนี้ลองมาอัพเดทเทคโนโลยีการแพทย์เพื่อกำจัดกลิ่นของ แพทย์หญิงอัจจิมา สุวรรณจินดา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผ่าตัดผิวหนัง มะเร็งผิวหนังและเลเซอร์ผิวหนัง อาจารย์พิเศษ โรงพยาบาลรามาธิบดี และผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์เมดิไซน์ กันดีกว่า

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/un-perfekt-9295476/

แม้ต่อมกลิ่น และต่อมเหงื่อจะเป็นปัจจัยหลักของปัญหาการมีเหงื่อใต้วงแขนและมีกลิ่นตัวแรง แต่กว่า 70% ของการเกิดกลิ่นตัว ไม่ได้มาจากต่อมกลิ่น และต่อมเหงื่อเพียงเท่านั้น แต่ยังเกิดจากความอับชื้นที่เกิดรอบๆ เส้นขนด้วย  ดังนั้นหากต้องการผลการรักษาที่เต็มประสิทธิภาพ ก็ต้องใช้การกำจัดขนร่วมด้วย เพราะแบคทีเรียที่เกาะตามรูขุมขนนั้นจะทำปฏิกิริยากับเหงื่อและเกิดกลิ่นตัวได้ การรักษาร่วมกันจึงช่วยให้เห็นผลการรักษาสูงสุดเกินกว่า 90% เลยทีเดียว

เทคโนโลยีที่เรียกว่า TOTAL AXILLA TECHNIQUE เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ที่ช่วยกำจัดต่อมกลิ่น และต่อมเหงื่อที่อยู่ใต้ชั้นผิว ซึ่งเป็นต้นตอหลักของการเกิดเหงื่อ และกลิ่นตัวแรง โดยกลไกการทำงานของเทคโนโลยีดังกล่าว เป็นการใช้คลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency: RF) เข้าไปทำลายต่อมกลิ่น และต่อมเหงื่อให้หยุดการทำงานอย่างถาวร เรียกได้ว่า ปิดกรุต้นตอกลิ่นตัวแรงกันเลยทีเดียว

คุณหมออัจจิมายังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ไม่มีปัญหาไหนแก้ไม่ตก ขอเพียงรู้ต้นตอแล้วแก้ให้ตรงจุดเพียงเท่านี้คุณก็สามารถสลัดเต่าออกจากรักแร้คุณได้ถาวรแล้วละ

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://pixabay.com/th/users/publicdomainpictures-14/

แล้วกลิ่นตัว อาจมาจากสาเหตุอะไรได้บ้าง

-อาหารบางชนิด เช่น เครื่องเทศ หัวหอม กระเทียม ไขมัน เนย เพราะงั้นใครที่คิดว่าตัวเองมีกลิ่นตัว อาจจะต้องเลี่ยงหรือลดปริมาณอาหารเหล่านี้

-อารมณ์ เช่น ความเครียดหรือกังวล ทำให้เกิดเหงื่อมากขึ้น กลิ่นตัวก็เยอะขึ้นตามไปด้วย ถ้าสาวๆ รู้สึกตัวว่าเครียดเมื่อไหร่ ต้องรีบหาวิธีผ่อนคลายเลย

-ปล่อยให้เหงื่อออกแล้วไม่ซับ ตอนที่ยุ่งๆ อาจคิดว่าเดี๋ยวเหงื่อก็แห้งไปเองเลยปล่อยไป แต่อย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่าถ้าเหงื่ออยู่บนผิวนาน ยิ่งมีโอกาสทำให้เกิดกลิ่น พกผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ไว้คอยซับดีกว่า

-เสื้อผ้าที่มีเนื้อผ้าไม่ค่อยระบายอากาศ เช่น ใยสังเคราะห์ เก็บไว้ใส่ช่วงที่อากาศเย็นกว่านี้ดีกว่า ช่วงนี้ทั้งร้อน ทั้งชื้น เลือกเนื้อผ้าที่ทำจากใยธรรมชาติอย่างผ้าฝ้าย ทำให้เหงื่อระเหยไปได้เร็ว สบายตัวแถมช่วยลดกลิ่นด้วย

-ใส่เสื้อผ้าซ้ำๆ เสื้อผ้าบางตัวเราใส่เดี๋ยวเดียว ยังไม่อยากซัก เลยเก็บไว้กะเอามาใส่ซ้ำ บางทีมันก็ทำให้เกิดกลิ่นได้ พยายามเปลี่ยนบ่อยๆ เปลืองหน่อยแต่ไม่มีซกมกจนมีกลิ่นมากวนนะเออ และหาเครื่องซักผ้า สักเครื่องที่มีประสิทธิภาพในการซักและฆ่าเชื้อโรคด้วยจะดีมาก แล้วจะเลือกเครื่องซักผ้าแบบไหนดีละ อ่านเพิ่มเติมได้เลยที่ เครื่องซักผ้ายี่ห้อไหนดี

-ไม่ผึ่งรองเท้า รองเท้าหุ้มส้นหรือรองเท้าผ้าใบ ก็เป็นไอเทมที่สะสมกลิ่นได้เหมือนกัน ดังนั้นควรนำไปผึ่งในที่ลมโกรกเป็นประจำ ซักสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็ได้

เช็คได้กี่ข้อกันบ้าง? ใครที่มีปัญหากลิ่นตัวก็ลองปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันดู แต่หากลองปรับแล้วยังไม่หาย อาจเกิดจากปัจจัยอื่นๆ เช่นโรคประจำตัว หรือมีกลิ่นตัวมากเกินกว่าปกติที่จะแก้ไขได้ DooDiDo แนะนำก็อย่าลืมไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้เพิ่มเติมอีกทีหนึ่งหลังจากลองแก้ไขเบื้องต้นด้วยตนเองดูแล้ว

ขอบคุณแหล่งที่มา: www.ruedee.com