ควรรู้ไว้สำหรับคุณพ่อคุณแม่เมื่อลูกอาจเป็นต่อมทอนซิลอักเสบ!!

WM

สังเกตอย่างไร? ว่าลูกเป็นต่อมทอนซิลอักเสบ

กลับมาพบกับพวกเราอีกแล้วนะคะ สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทความนี้ วันนี้พวกเราพร้อมใจที่จะมานำเสนอข้อมูลและข่าวสารดีๆ เกี่ยวกับร่างกายของลูกน้อยแล้วนะคะ  ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรจะรู้เกี่ยวกับอาการสำหรับเด็กนั่นก็คือต่อมทอนซิลอักเสบนั่นเองค่ะ  จะเห็นว่าลูกน้อยของเรามีร่างกายที่บอบบางและสุขภาพร่างกายที่ยังไม่แข็งแรงมากนัก  ทำให้ลูกน้อยอาจจะมีปัญหาเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้ง อาทิ อาการเจ็บคอหรือมีไข้ขึ้นสูง  ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อย่าพึ่งนิ่งนอนใจค่ะ คุณพ่อคุณแม่ควรที่จะตื่นตระหนกกันอาการป่วยของลูกน้อยอยู่ทุกครั้งและควรจะรีบพาไปพบแพทย์ผู้เชี่ยววชาญนะคะ โดยเฉพาะต่อมทอนซิลอักเสบเนี่ยจะมีหน้าที่สำคัญก็คือคอยจับและทำลายเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายนะคะ ถ้าหากต่อมนี้ไม่ทำงานหรือทำงานผิดปกติไปแล้วจะส่งผลเสียอย่างมากค่ะ มาลองอ่านสิ่งดีๆในบทความนี้เลยค่ะ

หากลูกน้อยมีอาการเจ็บคอหรือมีไข้สูง คุณพ่อคุณแม่อย่านิ่งนอนใจ ควรรีบพาลูกไปพบกุมารแพทย์ เพื่อตรวจให้แน่ใจว่าเป็นแค่ไข้ธรรมดา หรือว่าเป็น ต่อมทอนซิลอักเสบ” กันแน่!!!

มารู้จักกับ… “ต่อมทอนซิล”
ต่อมทอนซิล เป็นต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ในช่องคอทั้งซ้ายและขวา มีหน้าที่คอยจับและทำลายเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และมีส่วนช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายด้วย

WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@cdc

ต่อมทอนซิล” อักเสบได้อย่างไร?
ต่อมทอนซิลอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส เป็นอีกโรคหนึ่งที่พบมากในเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี เพราะเป็นวัยที่ภูมิต้านทานยังไม่แข็งแรง และมักชอบเอาของเล่น ของใกล้ตัว หรือแม้กระทั้งนิ้วและมือเข้าปาก ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย จนกลายเป็น ต่อมทอนซิลอักเสบ” บ่อยๆ

อาการของลูกน้อยใช่ “ต่อมทอนซิลอักเสบ” หรือไม่?
คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตอาการของลูกน้อยว่ามีอาการเหล่านี้ หรือมีสัญญาณเตือนของโรคต่อมทอนซิลอักเสบหรือไม่ เช่น

  • ต่อมทอนซิลจะบวมแดง
  • มีอาการเจ็บคอ โดยเฉพาะเวลากลืนน้ำลายหรือกลืนอาหาร ส่งผลให้มีอาการเบื่ออาหาร
  • ปวดศีรษะ
  • มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้ต่ำๆ แต่บางรายอาจมีไข้สูงจนถึงขั้นชักได้
  • อ่อนเพลีย หมดแรง ร้องไห้โยเยทั้งวันทั้งคืน
  • อาเจียน ปวดท้อง และมีอาการท้องเดินร่วมด้วย
WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@cdc

ดูแลรักษาอย่างไร เมื่อลูกน้อยเป็น “ต่อมทอนซิลอักเสบ”
เมื่อลูกน้อยป่วย คุณพ่อคุณแม่ยิ่งต้องดูแลใส่ใจเป็นพิเศษ และที่สำคัญต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เมื่อพาลูกไปพบแพทย์ คุณหมอก็จะเริ่มการรักษาตามความรุนแรงของอาการ

  • การรักษาโดยการให้ยา ขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดต่อมทอนซิลอักเสบ
    • เกิดจากเชื้อไวรัส รักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ ยาพ่น หรือยาอมแก้เจ็บคอ
    • เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย รักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะ กินยาต่อเนื่องกันประมาณ 7-10 วัน
  • เฝ้าดูอาการลูกอย่างใกล้ชิด
    คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นเฝ้าดูอาการของลูก หากลูกมีไข้สูง ครั่นเนื้อครั่นตัว ควรหมั่นเช็ดตัวให้ลูกเพื่อลดอุณหภูมิในร่างกาย ป้องกันการเกิดอาการชัก
  • ใส่ใจในการรับประทานของลูก
    ควรให้ลูกค่อยๆ รับประทานอาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊ก หรือข้าวต้ม และควรให้จิบน้ำบ่อยๆโดยเฉพาะน้ำหวาน
  • ให้ลูกนอนหลับอย่างเต็มอิ่ม
    ช่วงที่ลูกป่วย เป็นช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ เพราะร่างกายต้องการเวลาในการฟื้นฟูให้กลับความแข็งแรง
  • ดูแลความสะอาดภายในบ้าน
    เมื่อลูกเป็นต่อมทอนซิลอักเสบ คุณพ่อคุณแม่ยิ่งควรดูแลความสะอาดภายในบ้าน รวมทั้งของใช้ ของเล่นต่างๆ เพื่อเป็นการป้องกันเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่ร่างกายลูกเพิ่มอีก
WM
ขอบคุณภาพจาก: https://unsplash.com/@cdc

คุณพ่อคุณแม่ควรเฝ้าดูลูกน้อยอย่างใกล้ชิด หากมีสัญญาณหรืออาการเตือน ควรรีบพาไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างถูกต้อง แม้ว่า“โรคต่อมทอนซิลอักเสบ”จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่หากปล่อยไว้นาน ก็อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เพราะเรา ควรเอาใจใส่และใส่ใจ…ในการเติบโตของลูกน้อย…อย่างไม่ประมาท

จากบทความข้างต้นก็จบกันไปแล้วนะคะเกี่ยวกับพอรู้ว่าสำหรับคุณพ่อคุณแม่เมื่อลูกเป็นต่อมทอนซิลอักเสบเห็นว่าอาการจะค่อนข้างแรงมากนะคะสำหรับเด็กต่อมทอนซิลบวมแดงลูกจะมีอาการเจ็บคอและกลืนน้ำลายหรืออาหารส่งของให้พวกเขาน่าเบื่ออาหารนะคะอาจจะมีไข้ต่ำๆ แต่บางรายก็อาจจะมีไข้ขึ้นสูงได้ดังนั้น DooDiDo ขอแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ควรที่จะตรวจสอบสุขภาพร่างกายของลูกใหญ่สม่ำเสมอนะคะและนำไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วนเพราะว่าเป็นอันตรายต่อเด็กอย่างมากนะคะโดยคำว่าคุณแม่ควรที่จะทำตามคำสั่งของแพทย์ผู้เชี่ยววชาญอย่างเคร่งครัดเพื่อที่จะทำให้ลูกน้อยของเราได้ปลอดภัยนะคะหวังว่าทุกท่านจะได้ประโยชน์จากบทความนี้ค่ะขอบคุณค่ะ

ขอบคุณแหล่งที่มา : www.phyathai.com