แจกสูตรพร้อมขั้นตอนการทำสมูทเผือกและน้ำเผือก สุดอร่อย!!

“น้ำเผือก” ช่วยบำรุงไต และขับพิษในช่องท้องได้เป็นอย่างดี!!
วันนี้ทางเราขอเสนอเครื่องดื่มที่เอาใจคนชอบเผือก ด้วยรสชาตินมเผือกแท้ๆ กับเมนู สมูทเผือกและน้ำเผือก ที่หอม นุ่ม ละมุน กลมกล่อม กับนมรสเผือก นอกจากรสชาติที่ดีต่อใจแล้ว ยังตอบกระแสความต้องการบริโภคเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งเผือกนั้นเราสามารถนำมาทำได้หลากหลายเมนู ทั้งเครื่องดื่มและอาหารหวานที่อร่อย และมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วยค่ะ
เผือก : Taro พืชหัวใต้ดิน ปกติมีหัวใหญ่อยู่หัวหนึ่งและรากที่แตกแขนงไป มีหัวเล็กๆอีกหลายหัวเรียก “ลูกเผือก” ส่วนหัวใหญ่มีลักษณะอ้วนป้อมคล้ายลังบรรจุขวดไวน์ เมื่อนึ่งจนสุกเนื้อจะร่วนซุย กลิ่นหอม ชื่อวิทยาศาสตร์ Colocasia esculenta เลือกเผือกที่หัวมีน้ำหนัก เปลือกสด หัวจุกมีสีเขียวสด การเตรียมเผือกไม่ให้คันมือ ต้องล้างเผือกทั้งหัว เช็ดให้แห้ง ปอกเปลือกออกให้หนา เพื่อเอาสารแคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate) ที่อยู่ใต้เผือกออก เพราะสารนี้ทำให้คันมือ ถูกทำลายได้ด้วยความร้อน มาดูวิธีการทำสมูทเผือกและน้ำเผือกกันค่ะ

คุณค่าอาหารและสรรพคุณ
เนื้อของเผือกมีวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และเกลือแร่ชนิดต่างๆ ช่วยขับเสมหะ ปรับกระเพาะอาหารให้อยู่ในสภาพปกติ ช่วยบำรุงไต และขับพิษในช่องท้อง

การทำสมูทเผือก
ส่วนผสม
- เนื้อเผือกนึ่งสุกหั่นชิ้น 1 ถ้วย
- กล้วยหอมหั่นชิ้น (ผลละ 120 กรัม) ½ ผล
- นมสดชนิดจืด 1 ถ้วย
- น้ำเชื่อม 3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำต้มสุกแช่เย็น ½ ถ้วย
- ยอดสะระแหน่สำหรับตกแต่ง

วิธีทำ
ปั่นส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันให้ละเอียด รินใส่แก้ว ตกแต่งด้วยยอดสาระแหน่ ดื่มหรือจะแช่เย็นก่อนดื่มก็ได้ [จำนวน 2 แก้ว]
การทำน้ำเผือก
ส่วนผสม
- เนื้อเผือกนึ่งสุกหั่นชิ้น 1 ถ้วย
- น้ำต้มสุก 3 ถ้วย
- น้ำตาลทราย 6 ช้อนโต๊ะ
- เกลือป่น 1/8 ช้อนชา

วิธีทำ
ปั่นเนื้อเผือกนึ่งกับน้ำเข้าด้วยกันให้ละเอียดเทใส่หม้อ ยกขึ้นตั้งบนไฟอ่อนให้ร้อน ใส่น้ำตาลและเกลือ พอเดือดและน้ำตาลละลายหมด ปิดไฟ ยกลง พักไว้ให้เย็น รินใส่แก้วน้ำแข็งดื่ม [จำนวน 3 แก้ว]
บอกได้เลยค่ะ ว่ารสชาติที่ได้จากการทำสมูทเผือกครั้ง ละมุน โดนใจกันอย่างแน่นอนค่ะ DooDiDo ขอแนะนำว่าไม่ควรรับประทานเผือกแบบดิบนะคะ ต้องทำให้สุกก่อนรับประทาน เพราะบางรายอาจมีอาการแพ้ ถึงแม้จะทำให้สุกแล้วก็ตาม โดยอาการที่พบคือ คันในช่องปาก ลิ้นชา แสบร้อนปาก ลิ้น กระพุ้งแก้ม และทางเดินอาหารค่ะ
ขอบคุณแหล่งที่มา : http://healthynine.club/th/blog/detail/taro-juice