สูตรการชง “ชาขิง” สำหรับสาวๆ ที่ชอบมีปัญหาปวดท้องประจำเดือน!!

“ชาขิง” ตัวช่วยดีๆ ในการแก้ปวดท้องประจำเดือนของผู้หญิง
“ขิง” เป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์มากๆ ซึ่งขิงเป็นตัวช่วยสำคัญในการเผาผลาญไขมัน ทำให้น้ำหนักลดลงได้อย่างรวดเร็ว เพราะสรรพคุณของขิงนั้นมีมากมายเช่น ช่วยลดอาการบวม เผาผลาญไขมันและส่งเาริมการไหลเวียนของเลือด ขับพิษรักษาโรคอ้วน และยังช่วยปรัวสมดุลในร่างกายอีกด้วย
แต่นอกจากประโยชน์เหล่านี้แล้ว ขิงยังช่วยลดการปวดประจำเดือนสำหรับสาวๆ อีกด้วยนะคะ วันนี้เรามีสูตรการทำชางขิงมาฝาก เพื่อให้คุณผู้หญิงทั้งหลายได้นำไปชงเพื่อลดอากาปวดประจำเดือนกันนะคะคุณหมอดวงรัตน์ แพทย์แผนปัจจุบันที่มีความเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรอย่างมาก เช่นเดียวกับวันนี้ เธอหาตัวช่วยมาให้สาวๆ ที่มีปัญหา ปวดประจำเดือน เป็นประจำค่ะ วิธีการก็ไม่ยาก เพียง “ชงๆๆ” ไปติดตามพร้อมกันเลย…

ช่วงที่ผ่านมาผู้เขียนเดินทางไปเชียงใหม่ทั้งต้นเดือนและปลายเดือน โดยต้นเดือนไปประชุมวิชาการและได้มีโอกาสไปเดินดูนิทรรศการการแพทย์แผนไทย ซึ่งมีสมุนไพรหลากหลายรวมถึงผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่กำลังได้รับความนิยมหลายชนิดค่ะ ผู้เขียนสะดุดใจและหยุดเดินเมื่อได้เห็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากขิงอย่างเดียวและขิงที่ไปรวมกับสมุนไพรตัวอื่นจึงทำให้มีสรรพคุณเพิ่มขึ้นมากมาย
ปวดประจำเดือน

ในความเป็นจริงแล้วไม่น่าแปลกที่ขิงเป็นสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้หลากหลาย ในอดีต คนไทยเราคุ้นเคยกับการใช้ขิงมาเนิ่นนาน เช่น เดียวกับคนจีนที่มีการใช้ขิงมายาวนานเช่นกันโดยคนจีนเชื่อว่าขิงเป็นยาอายุวัฒนะ และใช้ขิงในทุกช่วงอายุและในฤดูกาลที่แตกต่างกัน
ผู้เขียนเองนั้นได้ใช้ขิงเยอะมากตอนหลังคลอด เนื่องจากคุณแม่ให้กินเมนูผัดขิงแทบทุกมื้อท่านบอกว่าช่วยฟื้นฟูร่างกายหลังคลอดบุตร เหตุที่เป็นเช่นนั้นเข้าใจว่าขิงมีรสเผ็ดร้อนน่าจะไปช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด ทำให้มีการขับน้ำคาวปลาและขับเหงื่อออกมา ร่างกายจึงกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้เร็ว

กรณีของผู้เขียน คาดกว่าที่ร่างกายฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติได้เร็วเกิดจากหลายปัจจัย เพราะคุณแม่ให้กินทั้งยาจีน ยาไทยแล้วยังมีการอบตัวด้วยสมุนไพร รวมทั้งให้นวดตัวหลังคลอดอีกด้วย เมื่อผู้เขียนมีประสบการณ์การใช้ขิงหลังคลอดบุตรจึงได้นำขิงในรูปแบบชาชงขิงที่โรงพยาบาลผลิตนำมาใช้กับผู้ป่วยหลังคลอดที่โรงพยาบาลค่ะ
นอกจากนั้นยังนำขิงไปผลิตเป็นสบู่เนื่องจากขิงมีสรรพคุณให้ผิวสะอาด ลดสิว และลดริ้วรอยจากสิวหรือฝ้ากระได้ เมื่อสอบถามจากผู้ที่ใช้พบว่าช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่ต้องใช้เวลาและต้องรักษาอย่างต่อเนื่องค่ะ ด้วยเหตุที่เห็นผลช้า ความนิยมของการใช้สบู่ขิงก็ลดลงประกอบกับมีเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามามากมาย ดังนั้นทางโรงพยาบาลจึงเลิกผลิตสบู่ขิงไปโดยปริยาย

แต่ผู้เขียนยังคงใช้ชาชงขิงกับผู้ป่วยที่มีอาการไอและมีเสมหะเยอะ หรือมีการคลื่นไส้อาเจียนจากการเมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบิน รวมทั้งคนไข้ที่ต้องใช้ยาเคมีบำบัดหรือฉายแสงแล้วมีอาการคลื่นไส้อาเจียนสามารถจิบชาขิงช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนดีค่ะ แถมยังช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
ตัวผู้เขียนเองใช้ขิงเป็นประจำเมื่อมีอาการไอหรือเริ่มเจ็บคอจะเริ่มจิบน้ำขิงเลยค่ะพบว่าช่วยได้ดีเลยค่ะ ช่วยให้เสียงและอาการไอดีขึ้นถึงแม้ช่วงที่ร่างกายปกติผู้เขียนก็ยังคงกินขิงในรูปแบบอื่นซึ่งก็คงเหมือนกับท่านผู้อ่านเช่น ขิงสดหั่นฝอยโรยบนโจ๊กหรืองบัวลอยน้ำขิง นอกจากนี้ก็เป็นส่วนผสมในแกงหรือผัดต่างๆ เห็นไหมคะว่าในชีวิตประจำวันเราเกี่ยวข้องกับขิงมากมาย ใช้เป็นอาหารแล้วยังเป็นยาไปในตัวด้วย

ผู้เขียนยังพบว่าขิงช่วยลดอาการปวดมีประจำเดือนได้โดยครั้งหนึ่งผู้เขียนไปพบคนรู้จักและคุยเรื่องต่างๆ มากมายสุดท้ายก็มาคุยเรื่องสุขภาพและการดูแลรักษาตัวเอง เนื่องจากทุกคนรู้ว่าผู้เขียนสนใจเรื่องสมุนไพรเมื่อกินอะไรแล้วดีจะนำมาบอกกล่าวกัน และครั้งนี้ก็เช่นกันค่ะคนรู้จักเล่าว่าที่ผ่านมาเขามีปัญหาปวดประจำเดือนอย่างรุนแรง กินยาแก้ปวดก็ช่วยได้แต่ใจจริงไม่อยากกินยานานๆ
ผู้เขียนเคยแนะนำเขาให้กินขิงโดยเป็นรูปแบบชาชง โดยให้ชงดื่มก่อนมีประจำเดือนและชงดื่มไปเรื่อยๆ ตลอดช่วงที่มีประจำเดือนเมื่อเขาไปทำตามที่แนะนำจึงพบว่าอาการปวดมีประจำเดือนหายไปได้
เมื่อผู้เขียนได้ยินดังนั้นก็เก็บเป็นข้อมูล พอกลับมาถึงโรงพยาบาล เจอคนรู้จักและที่มีอาการปวดประจำเดือน ซึ่งบางครั้งส่งผลกระทบทั้งต่อการเรียนและการงานแม้ใช้ยาแก้ปวด แต่บางครั้งก็ไม่หาย เลยบอกให้ชงขิงดื่มไปเรื่อยๆ พบว่าช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้จริงด้วยค่ะ
ใครบ้าง ห้าม! กินขิง

- ผู้ที่กินยาต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือด เช่น แอสไพริน
- ผู้ที่มีความร้อนในร่างกายมาก
สำหรับคุณผู้หญิงท่านใดที่มีอาการปวดประจำเดือนเป็นประจำ ก็ลองนำสูตรการชงชาขิงตาที่ DooDiDo นำมาฝากกันดูนะคะ เพราะชาขิงนั้นมีวิธีการทำแสนง่ายมากๆ ค่ะ นอกจะจะให้ความชุ่มคอ ลดปวดประจำเดือนแล้ว ยังได้หุ่นดีตามมาอีกด้วยนะคะ
ขอบคุณแหล่งที่มา : https://goodlifeupdate.com/healthy-body/health-education/61911.html#cxrecs_s